『Thailand,ประเทศไทย』 อาชญากรรม, ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ 2024.9.27-10.25

2024.10.25 ตม.จว.ชลบุรี รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา

TMN Cable TV Pattaya
2024.10.26
รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา
พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ต.จาริต เร้าเสถียร สว.ตม.จว.ชลบุรี ร.ต.อ.ศิรวุฒิ มานิพพาน รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี นำกำลังชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี บุกเข้าจับกุมนายหวัง หลวน ฟา อายุ 49 ปี ชาวจีน หนีหมายจับประเทศบ้านเกิด ได้ที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี
พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี เผยว่า ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งประสานข้อมูลจาก สถานเอกอัครราชทูตจีน ว่านายหวัง ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการจีน เมืองเหอเปีย ในข้อหา “ฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร” โดยมีพฤติการณ์ เป็นรองผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศจีน ร่วมกันกับพวกปลอมแปลงเอกสาร เพื่อโกงสินเชื่อของธนาคาร มูลค่าความเสียหาย 45 ล้านหยวน (ประมาณ 225 ล้านบาท)
หลังก่อเหตุ นายหวัง ได้หลบหนีมากบดานในเมืองพัทยา จึงสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว จากการตรวจค้นพบเงินสดจำนวนประมาณ 1.7 แสนบาท โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย ผ่านแนวชายแดนกัมพูชา (ไม่ทราบบริเวณ) และมาพักอาศัยที่ จ.ชลบุรี ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องโกงเงินธนาคารที่ตัวเองทำงานอยู่ เพราะว่าต้องการเอาเงินที่ได้จากส่วนแบ่งล้างหนี้สิน เบื้องต้น ตม.ชลบุรี จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ ดำเนินคดี.

รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินกว่า 200 ล้านหนีกบดานพัทยา
25 ต.ค. 2567 • 20:00 น.

ตม.จว.ชลบุรี รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 67 พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ต.จาริต เร้าเสถียร สว.ตม.จว.ชลบุรี ร.ต.อ.ศิรวุฒิ มานิพพาน รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี นำกำลังชุดสืบสวน ตม.จว.ชลบุรี บุกเข้าจับกุมนายหวัง หลวน ฟา อายุ 49 ปี ชาวจีน ผู้ต้องหาหนีหมายจับประเทศบ้านเกิด ได้ที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี

พ.ต.อ.นภัสพงษ์ เผยว่า ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งประสานข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ว่า นายหวัง ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการจีน เมืองเหอเปีย ในข้อหา “ฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร” โดยมีพฤติการณ์ เป็นรองผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศจีน ร่วมกันกับพวกปลอมแปลงเอกสาร เพื่อโกงสินเชื่อของธนาคาร มูลค่าความเสียหาย 45 ล้านหยวน (ประมาณ 225 ล้านบาท)

หลังก่อเหตุ นายหวัง ได้หลบหนีมากบดานในเมืองพัทยา จึงสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว จากการตรวจค้นพบเงินสดจำนวนประมาณ 1.7 แสนบาท โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย ผ่านแนวชายแดนกัมพูชา (ไม่ทราบบริเวณ) และมาพักอาศัยที่ จ.ชลบุรี ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องโกงเงินธนาคารที่ตัวเองทำงานอยู่ เพราะว่าต้องการเอาเงินที่ได้จากส่วนแบ่งล้างหนี้สิน เบื้องต้น ตม.ชลบุรี จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ ดำเนินคดี.

中国男子逃往泰国被捕,涉骗贷2.25亿泰铢

10月25日,春武里府移民局局长纳帕蓬警上校率队,与副局长及调查组成员突击搜查芭提雅一酒店,成功逮捕49岁的中国籍男子王龙发。该男子涉嫌在中国伪造文件骗取巨额银行贷款后潜逃至泰国。

据纳帕蓬透露,春武里府移民局此前接到中国大使馆的通报,称中国河北籍公民王某,曾担任某银行副经理。他涉嫌与他人合谋伪造文件,从银行骗取贷款高达4500万元人民币(约2.25亿泰铢)。河北省公安机关已对其发布通缉令,指控罪名包括诈骗和伪造文件。

案件发生后,王某自中国潜逃至泰国并藏身在春武里府的芭提雅。中国大使馆随即请求当地警方协助抓捕。接到请求后,春武里府移民局展开行动,当场在酒店内将王某抓获,并查获其随身携带的17万泰铢现金。

经讯问,王某供认自己经柬埔寨边境非法入境泰国,且在春武里府滞留居住已有约2个月。他表示,骗取贷款的目的是需要用该笔资金来偿还债务。目前,春武里府移民局已按程序将王某移交给Nong Prue警察局处理。

2024.10.25 Natthamon ‘Nutty’ Khongchak arrested in Indonesia after two years on the run for forex trading scam

POLICETV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก “นัทตี้ ไดอารี่” กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน
ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ซึ่งนโยบายข้อที่ 9 กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที”
.
วันนี้ (ศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรณีปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก “นัทตี้ ไดอารี่” กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน
.
สืบเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับเน็ตไอดอลสาว ชื่อ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน ซึ่งในเวลาต่อมาจำนวนผู้เสียหายได้เพิ่มขึ้น และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายหน่วยงาน เช่น บช.สอท. และสถานีตำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
.
สำหรับ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary เป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เคยเป็นอดีตศิลปินจนเคยมีผลงานเพลงในประเทศเกาหลีใต้ ก่อนผันตัวเป็น “Youtuber” เจ้าของช่อง “Nutty’s Diary” มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ต่อมาเริ่มมีการลงโฆษณาและชักชวนประชาชนลงทุนผ่านทางแอปพลิเคชัน Instragram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อรับฝากเทรดหุ้น และอนุพันธ์ของหุ้น มีการลงโพสต์โชว์ผลกำไร และอ้างตัวเป็นโค้ชเทรดหุ้นว่ามีใบอนุญาตรับรองจาก ก.ล.ต. สามารถสอนนักเรียนเทรดหุ้นได้ และยังมีการกล่าวอ้างว่า ได้มีการจัดตั้งบริษัท สุชาดา จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และได้รับใบอนุญาตการลงทุนจาก ก.ล.ต. อีกด้วย
.
ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาได้ให้ผู้หลงเชื่อเข้าพูดคุยผ่านกลุ่ม Line ที่มีสมาชิกจำนวนกว่า 3,000 คน มีการอัปเดตและลงข้อมูลชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อที่เข้าร่วมกลุ่มเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจนี้มีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น มีการซื้อคอนโดที่พัทยาจำนวนหลายห้อง ซื้อโรงงาน คลินิก ที่ดิน รถยนต์หรู และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซึ่งภาพลักษณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตัดสินใจร่วมลงทุน ในส่วนรูปแบบการลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาจะเปิดให้ลงทุนขั้นต่ำเป็นจำนวน 5,000 บาท สูงสุดไม่เกินจำนวน 5,000,000 บาท ต่อ 1 บิล โดยแต่ละคนจะมี่กี่บิลหรือกี่แนบท้ายสัญญาก็ได้ โดยระยะเวลาในการได้รับกำไรจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน นับจากวันที่ระบุในสลิปโอนเงิน ในส่วนกำไรจากการเทรดจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำสัญญา เช่น สัญญา 3 เดือน มีอัตรากำไร 25% ของเงินทุน สัญญา 6 เดือน มีอัตรากำไร 30% ของเงินทุน สัญญา 12 เดือน มีอัตรากำไร 35% ของเงินทุน โดยสามารถรับเงินจากกำไรที่ได้จากการเทรดได้ทุกเดือนตามข้อตกลงในการทำสัญญา โดยจะให้ผู้เสียหายโอนเงินพร้อมส่งข้อมูลและสลิปโอนเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน Line
.
จากการที่เหยื่อลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาไม่ได้ระบุว่าจะนำเงินที่ได้รับฝากนั้นไปลงทุนในหุ้นบริษัทใด สุดท้ายเมื่อถึงเวลารับเงินปันผล ผู้ที่หลงเชื่อลงทุนกลับไม่ได้รับเงินปันผลและไม่สามารถขอรับเงินลงทุนคืนได้แต่อย่างใด คาดว่ามีผู้เสียหายทั่วประเทศรวมกันกว่า 6,000 ราย สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท โดยมีผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้วจำนวน 475 ราย
.
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออำนาจศาลทั่วประเทศออกหมายจับ นางสาวสุชาตาฯ อายุ 31 ปี ได้ทั้งสิ้น จำนวน 13 หมายจับ และหมายจับ นางธานิยาฯ อายุ 66 ปี (มารดาของนัทตี้) ได้ทั้งสิ้นจำนวน 2 หมายจับ และอยู่ระหว่างดำเนินการออกหมายจับเพิ่มเติมอีกหลายคดี ซึ่งต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีมติรับคดี นางสาวสุชาดาฯ หรือ นัทตี้ เป็นคดีพิเศษ
.
จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แจ้งไปยัง INTERPOL และตำรวจในประเทศต่าง ๆ เพื่อสืบสวนหาข่าวนำผู้ต้องหาทั้ง 2 มาดำเนินคดีในประเทศไทยเนื่องจากเป็นคดีที่สำคัญ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนในวงกว้าง และจากการสืบสวนทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศต่าง ๆ จนท้ายที่สุดพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปยังประเทศอินโดนีเซีย เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียจึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ที่เมืองดูไม จังหวัดรีเยา บนเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567
.
ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นทำให้ทราบว่า ทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปพำนักอยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นเวลานาน โดยไม่มีทั้งหนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวประชาชนของประเทศไทย ต่อมาได้ลักลอบเข้าประเทศอินโดนีเซียผ่านเกาะบาตัม ซึ่งเป็นเกาะและเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดเกอปูเลาวันรีเยา ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองดูไม จึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว และนำไปสู่การขยายผลจับกุม นางธานิยาฯ ผู้เป็นมารดาได้ในที่สุด จากนั้นได้เพิกถอนวีซ่าของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ประสานสถานทูตไทยในอินโดนีเซีย และตำรวจชุดจับกุมเพื่อยืนยันตัวบุคคลและผลักดันผู้ต้องหากลับประเทศไทย โดยได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , บช.สอท. และ DSI เพื่อรอรับตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
.
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การติดตามจับกุมคนร้ายในคดีนี้ เกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์อันดี และการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างตำรวจไทย ตำรวจอินโดนีเซีย และตำรวจประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก ทำให้สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และเยียวยากลุ่มผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า ใครที่คิดจะทำความผิดและหลบหนีไปต่างประเทศก็จะไม่รอดพ้นตำรวจไทยในการติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย

Former YouTube star back in Thailand to face fraud charges
Natthamon ‘Nutty’ Khongchak arrested in Indonesia after two years on the run for forex trading scam

DSI officers escort Natthamon “Nutty” Khongchak and her mother Thaniya Khongchak through Don Mueang airport on Friday evening, after they arrived from Indonesia to face charges of swindling thousands of followers out of 2 billion baht through a foreign-exchange trading scam. (Photo from Police TV Facebook)

Former YouTube celebrity Natthamon “Nutty” Khongchak and her mother arrived back in Thailand on Friday evening to face charges of swindling thousands of followers out of 2 billion baht through a foreign-exchange trading scam after they were arrested in Indonesia.

The two suspects were met at Don Mueang airport by Pol Lt Gen Thawatchai Piyaneelabut, assistant national police chief; and Pol Capt Wissanu Chimtrakul, deputy director-general of the Department of Special Investigation (DSI). They departed in a DSI vehicle.

Before being taken from the airport, Natthamon said briefly to reporters that she wanted to apologise to all the victims. She and her mother declined to give any details about the case.

Natthamon was wanted on 13 arrest warrants issued by Thai police Cyber Crime Investigation Bureau investigators. Her mother Thaniya Khongchak was wanted on two warrants on the same charges, said Pol Lt Gen Thawatchai. The case was later taken on as a special case by the DSI.

The two suspects and Natthamon’s secretary, Nichaphat Rattanukrom, fled Thailand in July last year through a natural border crossing in the South. They headed to Kuala Lumpur before boarding a boat to illegally enter Indonesia, said Pol Lt Gen Thawatchai.

Indonesian police arrested Natthamon and her mother on Oct 18 in Dumai in Riau province on the island of Sumatra for illegal entry. Ms Nichaphat remains at large.

Pol Col Wissanu said the DSI and police had already seized assets worth 16 million baht from the suspects involved in the pyramid scheme that Natthamon is accused of operating.

The investigation is being expanded to examine the money trail so that more assets would be seized.

More than 6,000 people fell victim to the scheme with losses estimated at 2 billion baht, said the DSI deputy chief. So far, 445 victims have filed complaints against Natthamon and the others involved.

Natthamon, 31, attracted more than 800,000 subscribers to her YouTube channel, “Nutty’s Diary”, where she mostly posted dance videos.

Capitalising on her popularity, she later presented herself as an investment guru, promising high returns to more than 6,000 people, many of whom later reported they had not received any payouts.

The arrests of Natthamon and her mother followed efforts by fraud victims, led by lawyer Phaisal Ruangrit, who filed complaints on Aug 24, 2022.

The lawyer said the former YouTuber had used her popularity to lure victims with the promise of high returns in a short time.

She invited people to deposit money in her account, promising 25% returns for three-month contracts, 30% for six-month contracts and 35% for 12-month contracts. She pledged to pay returns every month.

Natthamon “Nutty” Khongchak attracted more than 800,000 subscribers to her YouTube channel, “Nutty’s Diary”, where she mostly posted dance videos before she decided to become an investment guru. (Photo: @nutty.suchataa Instagram)
!
Natthamon “Nutty” Khongchak 的 YouTube 频道“Nutty’s Diary”吸引了超过 80 万订阅者,在决定成为投资大师之前,她主要在该频道上发布舞蹈视频。

前 YouTube 明星返回泰国面临欺诈指控
Natthamon ‘Nutty’ Khongchak 因外汇交易诈骗逃亡两年后在印度尼西亚被捕

前 YouTube 名人 Natthamon “ Nutty ” Khongchak 和她的母亲于周五晚上返回泰国,面临通过外汇交易骗局从数千名粉丝手中骗取 20 亿泰铢的指控。她们在印度尼西亚被捕。

在被带离机场前,纳塔蒙简短地对记者说,她想向所有受害者道歉。她和她的母亲拒绝透露有关此案的任何细节。

2024.10.25 เปิดเส้นเงิน 3 บอสดารา รับตรงดิไอคอน “บอสกันต์” รับเละเกือบ 80 ล้าน!

เปิดเส้นเงิน 3 บอสดารา รับตรงดิไอคอน “บอสกันต์” รับเละเกือบ 80 ล้าน!

เปิดผลตรวจเส้นทางการเงิน 3 บอสดารา รับตรง “ดิไอคอนกรุ๊ป” พบ “บอสกันต์” ฟันเละ รับส่วนแบ่งคนเดียวเกือบ 80 ล้านบาท หลักฐานยันชัดไม่ใช่พรีเซนเตอร์

รายงานข่าวแจ้งว่า ความคืบหน้าการตรวจสอบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับ กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย โดยเฉพาะกลุ่มบอสที่เป็นศิลปินดารา ที่ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ได้ร่วมกันตรวจสอบร่วมกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ก่อนหน้านี้

เบื้องต้นผลการตรวจสอบพบว่า นายกันต์ กันตถาวร หรือ “บอสกัน” ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีเงินโอนจากบัญชีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป เข้าบัญชี จำนวน 33 ครั้ง รวมเป็นเงิน 79,482,686.80 บาท

โดยแบ่งเป็นปี 2564 จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,756,928.32 บาท ปี 2565 จำนวน 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 41,836,164.64 บาท ปี 2566 จำนวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 23,515,753.04 บาท ปี 2567 จำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,373,840.80 บาท

ส่วน น.ส.พิชญา วัฒนามนตรี หรือ “บอสมิน” มีการรับโอนเงินจากบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ตั้งแต่ปี 2566 – 2567 จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 11,390,847.44 บาท โดยแบ่งเป็น ปี 2566 จำนวน 7 ครั้ง เป็นเงิน 8,548,024.34 บาท และ ปี 2567 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2,842,823.10 บาท

ขณะที่ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ “บอสแซม” ตั้งแต่ปี 2566-2567 มีการรับโอนเงินเข้ามาจำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,194,614.80 บาท แบ่งเป็นปี 2566 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 1,861,391.48 บาท และ ปี 2567 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 1,333,223.32 บาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับเงินที่ถูกโอนมายังบุคคลทั้ง 3 บอสดาราเหล่านี้ จะเป็นในลักษณะส่วนแบ่งเงินรายได้ของบริษัทฯ แตกต่างกับกลุ่มศิลปินดาราคนอื่นๆ อย่าง บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ โดม ปกรณ์ ลัม ที่จะได้รับเป็นเงินค่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีสัญญาการว่าจ้างเป็นรายปี

Celebs ‘received huge payments from iCon’
Records show firm accused of running a pyramid scheme paid TV host Kan B80 million

The money trail of three celebrities linked to The iCon Group shows that they received huge payments from the online sales company, with TV host Kan “Boss Kan” Kantatavorn alone receiving almost 80 million baht

The Anti-Money Laundering Office and the police Central Investigation Bureau have examined the financial records of all 18 suspects in the huge fraud case, particularly the three stars: Kan, actor Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri and actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree.

The initial investigation results showed that Kan received 33 money transfers totalling 79.48 million baht from The iCon Group into his bank account from 2021 to this year. The transfers were as follows:
2021: Two transfers for 5.75 million baht
2022: Fifteen transfers totalling 41.83 million baht
2023: Ten transfers totalling 23.51 million baht
2024: Six transfers totalling 8.37 million baht.

Actress Pechaya received nine transfers totalling 11.39 million baht:

2023: Seven transfers totalling 8.54 million baht
2024: Two transfers amounting to 2.84 million baht.

Actor Yuranunt received 3.19 million baht: two transfers totalling 1.86 million baht in 2023 and another 1.33 million in 2024.

Presenter now ‘a victim’

A source familiar with the investigation said the payments received by the three celebrities were apparently seen as shares of the company’s revenue. They differed from the sums paid to other stars such as actor Pakorn “Boy” Chaborirak and actor-singer Pakorn “Dome” Lam, who had been hired as product presenters under yearly contracts.

Pakorn, 40, met with police on Oct 14 and told reporters he had terminated his presenter contract with The iCon Group and was among the damaged parties.

All 18 suspects — dubbed “bosses” in the iCon marketing hierarchy — were arrested on Oct 16 after many people filed fraud complaints against the company, which sold health and dietary supplements. They have since been remanded in custody.

The iCon Group attracted many people by offering cheap online sales courses. But once they enrolled, they were asked for more money to buy products, followed by larger financial commitments to help advertise for new recruits.

All of the suspects, including founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul, have been charged with colluding in public fraud and inputting false information into a computer system. They have denied all the charges.

On Thursday, the Department of Special Investigation (DSI) said it would handle suspected money-laundering in relation to the fraud case against the company.

On the same day, police said 8,137 people had filed complaints about losses totalling 2.41 billion baht related to the iCon business.

名人们“从 iCon 那里得到了巨额报酬”
记录显示,该公司被指控经营传销骗局,向电视主持人 Kan 支付了 8000 万泰铢

2024.10.24 DSI รับ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษ หลังตรวจพบกลุ่มผู้บริหารฟอกเงิน

DSI แถลงรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2567) เวลา 14.00 น. พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวนตามมาตรา 23/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีเกี่ยวกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ

การจำหน่ายเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ในลักษณะการประกอบธุรกิจขายตรงว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดฐานฟอกเงินหรือความผิดอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ โดยมี ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เลขสืบสวนที่ 178/2567 แต่เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ว่าพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จับกุมดำเนินคดีกับผู้บริหารและเครือข่ายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 ราย ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดรายละเอียด ของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

คณะพนักงานสืบสวนตามคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวข้างต้น ได้ทำการสืบสวนปรากฏข้อมูลและพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิด โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนทำธุรกิจ ดังกล่าวทำการโอนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจากการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าได้มาในช่วงเวลากระทำความผิด ดังนี้

1.ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่าประมาณ 60,000,000 บาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน และที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว

2.ที่ดินในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300,000,000 บาท

3.ทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 จากการตรวจค้นพบสิ่งของทรัพย์สินซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บางคน ได้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบ พบก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ เช่น นาฬิกามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง สร้อยที่มีลักษณะเป็นสีทอง พระเครื่องเลี่ยมสีทอง กระเป๋ามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง และพยานหลักฐานอีกจำนวนหนึ่ง

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาจากพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าเชื่อได้ว่ากลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด มีพฤติการณ์ โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินอันเป็นความผิดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

DSI รับ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษ หลังตรวจพบกลุ่มผู้บริหารฟอกเงิน

ดีเอสไอ เผย ตรวจพบกลุ่มผู้บริหาร “ดิไอคอน กรุ๊ป” โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน จึงรับเป็นคดีพิเศษ

24 ต.ค. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวนตามมาตรา 23/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีเกี่ยวกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ในลักษณะการประกอบธุรกิจขายตรงว่า มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดฐานฟอกเงินหรือความผิดอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่

โดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เลขสืบสวนที่ 178/2567 แต่เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า พนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จับกุมดำเนินคดีกับผู้บริหารและเครือข่ายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 ราย ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดรายละเอียด ของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

คณะพนักงานสืบสวนจึงสืบสวนปรากฏข้อมูลและพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิด โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนทำธุรกิจ ดังกล่าว “ทำการโอนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินจำนวนมาก”

ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจากการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า ได้มาในช่วงเวลากระทำความผิด ดังนี้

1.ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่าประมาณ 60,000,000 บาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน และที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว

2.ที่ดินในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300,000,000 บาท

3.ทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 จากการตรวจค้นพบสิ่งของทรัพย์สินซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บางคน ได้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบ พบก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ เช่น นาฬิกามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง สร้อยที่มีลักษณะเป็นสีทอง พระเครื่องเลี่ยมสีทอง กระเป๋ามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง และพยานหลักฐานอีกจำนวนหนึ่ง

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาจากพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าเชื่อได้ว่า กลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด มีพฤติการณ์ “โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน” ที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินอันเป็นความผิดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

10月24日14时,泰国特别案件调查厅(DSI)代理厅长育塔纳警少校、副厅长维萨努等人联合宣布将“The Icon集团诈骗案”列为特案,代理厅长及副厅长为调查组负责人。

涉案公司The Icon集团从事化妆品、饮料及膳食补充剂的销售,DSI依法对其直销业务是否存在诈骗或洗钱行为进行了调查,目前掌握的情况如下:

国家警察总署逮捕并以诈骗罪起诉了The Icon集团18名嫌疑人,该罪属于洗钱罪的上游犯罪。调查组获得的证据表明,该案嫌疑人共同实施了诈骗活动,并将犯罪所得财产转移,以下财产均于犯罪期间获得:

1.13块曼谷土地,总面积约3莱,估价约6千万泰铢,其中8块为The Icon集团位于曼谷Bang Khen 区的土地和建筑物,总面积240平方米,另外5块为公司CEO“BOSS保罗”(沃拉潘)名下土地,总面积282.2平方米,分别位于Bang Khen、Bueng Kum、Bang Kapi、Lat Phrao地区。

2.3块巴吞他尼府土地,总面积超过63莱,估价约3亿泰铢。

3.刑事法院批准逮捕令之前,警方还在Ramintra路第9巷一出租屋内还发现大量财产,如带有名牌商标的手表和包、金项链、护身符和其他证据,经调查,这是该公司涉案高管为防止警方搜查而隐藏的。

特案厅认为,根据相关法律,以上行为已经构成洗钱罪,该案符合特别案件的成立条件。

2024.10.18 The iCon Group has become a hot national topic, especially following the issuance of arrest warrants for 18 key figures

iCon 集团涉嫌诈骗案已成为全国热门话题

‘$247m transferred by key accused in The iCon Group case before arrest’
FRIDAY, OCTOBER 18, 2024

Adviser to Interior minister shows transfer evidence in FB post

An irregular transfer of US$247,911,936 (more than 8.2 billion baht) took place just one hour before the arrest of Jirawat Saengpakdee, also known as “Coach Lap”, one of the key accused in The iCon Group scandal, adviser to the minister of Interior Ekapop Luangprasert has alleged.

Ekapop, the founder of the volunteer “Sai Mai Must Survive” group, posted the accusation on his Facebook page and also posted evidence of the money transfer.

The alleged scam involving The iCon Group has become a hot national topic, especially following the issuance of arrest warrants for 18 key figures, all of whom have either been apprehended or turned themselves in. Recently, all 18 individuals were remanded to police custody without bail.

Jirawat was one of the 18 key figures arrested and is considered a critical individual holding many secrets. As a programer, he managed the back-end systems for The iCon Group.

Most recently, officers from the Department of Special Investigation executed a search warrant at Serve Rich Co Ltd, a company owned by Coach Lap. It was discovered that some data had already been removed.

17 iCon fraud suspects sent to jail
CEO to make first court appearance Friday, DSI searches server for more evidence
17 Oct 2024 at 20:39

Celebrities Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri and Kan Kantathavorn give a wai to reporters as they and 15 other suspects in the iCon fraud case are taken to the Criminal Court on Thursday afternoon. All were remanded in custody.

Seventeen suspects in The iCon Group fraud case have been sent to jail after the Criminal Court rejected bail requests submitted by three celebrities, citing flight risk, while the others did not apply for release.

The ruling came on a day in which the Department of Special Investigation (DSI) located a server containing the business records of the online sales company, which has been accused of running a pyramid scheme. Authorities also seized 220 million baht worth of assets including many luxury cars.

Police took 17 suspects to court on Thursday afternoon to seek their detention, while iCon founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul was still being questioned by investigators. He will be taken to court on Friday.

All 18 suspects — dubbed “bosses” in the iCon marketing hierarchy — were arrested on Wednesday after more than 1,000 people filed fraud complaints against the company. They say iCon lured them by offering cheap online sales courses and then coerced them into making further financial commitments — some leading to losses of hundreds of thousands of baht.

All of the suspects have been charged with colluding in public fraud and inputting false information into a computer system. They have denied all the charges.

Among the 17 suspects, only actor Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri, actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree and TV host Kan Kantathavorn submitted bail applications. However, the court turned down their requests, saying they posed a flight risk or might interfere with evidence.

About 150 representatives of victims also submitted a petition to the court opposing the suspects’ temporary release.

The 10 male suspects were sent to Bangkok Remand Prison and the seven female suspects to the Central Women’s Correctional Institution.

The court appearance followed about 14 hours of questioning by officers at the Central Investigation Bureau (CIB) building in Bangkok, where the suspects had been detained overnight following their arrest.

Pol Maj Gen Suwat Saengnum, the CIB deputy commissioner, said the initial questioning of Mr Warathaphon was expected to be completed on Friday within the maximum 48 hours allowed.

Authorities are gathering evidence and questioning victims before deciding whether to seek arrest warrants for more suspects, he added. (Story continues below)

Server mined for data

The Department of Special Investigation on Thursday searched a building in Bung Kum district of Bangkok for more evidence about the business operations of The iCon Group.

Investigators armed with a search warrant entered the building on Ratchada-Ram Indra Road in the Nuan Chan area at about 11am on Thursday. They had reliable information that iCon had rented a cloud server there to back up its data, said Pol Maj Woranan Srilam, a DSI spokesman.

Investigators had to move quickly as digital evidence could be changed easily and rapidly, he added.

An initial examination found that the server held data about all activities of the online business that would be useful, said Pol Maj Woranan.

The person in charge of the building was only the lessor and not affiliated with The iCon Group. They provided full cooperation to DSI investigators while they backed up the data from the server, he said.

“Aside from the money trail of the firm, the DSI will look into the company’s accounting to find out whether there are any irregularities in the business operation,” he said.

“We have been given cooperation from the Central Institute of Forensic Science to collect digital evidence.”

The DSI is also looking to search a house in Pathum Thani where a key computer programmer for the firm lived, the spokesman added.

Withoon Keng-ngarn, the lawyer for Mr Warathaphon, on Thursday visited his client, who denied all charges and confirmed the original testimony he gave to authorities.

Mr Withoon said his client was not worried that his bail request might be denied. He said it would only be a change of place to sleep and life would go on, the lawyer added.

The 17 other suspects are:
Jirawat “Boss Lab” Saengpakdee
Klod “Boss Peter” Sretthanan
Ms Panjaras “Boss Pan” Kanokrakthanaporn
Tananont “Boss Mor Ek” Hiranchaiwan
Ms Natpasorn “Boss Suay” Hatthanasorn
Ms Yasikan “Boss Soda” Ekchisanuphong
Nantharat “Boss Om” Chaowanapreecha
Thawinphas “Boss Win” Phupattanarin
Ms Kanokthorn “Boss Mae Ying” Puranasukhon
Ms Saowapaa “Boss Oommy” Wongsakha
Chetnaphat “Boss Tommy” Apiwattanakarn
Hassayanont “Boss Pop” Ekchisanuphong
Ms Wilailak “Boss Joy” Yawichai or Jensuwan
Thanarot “Boss Off” Thitijariyawat
Celebrity Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri
Actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree
Actor and TV host Kan “Boss Kan” Kantathavorn

All 18 iCon suspects arrested on fraud charges
CEO, top TV host, celebs and wellness clinic ‘doctor’ among others taken into custody
16 Oct 2024 at 21:46

The iCon Group CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul is arrested at the Office of the Consumer Protection Board on Wednesday.

Police have arrested all 18 suspects wanted in the iCon Group fraud case, including founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul, the Central Investigation Bureau (CIB) said on Wednesday night.

Mr Warathaphon, 41, was taken into custody at the Consumer Protection Board office at around 4pm. He was there to give a statement about the operations of his business, which is being investigated for alleged pyramid selling and fraud.

The Criminal Court earlier on Wednesday approved arrest warrants for Mr Warathaphon and 17 others, some of them celebrities, on charges of public fraud and putting false information into a computer system.

Officers took Mr Warathaphon with them to search his house and offices after they arrested him. He was later taken to the CIB headquarters in Bangkok.

Kan Kantathavorn, a well-known TV host and actor linked to The iCon Group, was brought to the CIB at 7.30pm. His arrest followed that of two other suspects, Jirawat Saengpakdee and Kanokthorn Puranasukhon.

The last three suspects arrested were Saowapha Wongsakha, Songkrot “Boss Peter” Sretthanan and Chetnaphat “Boss Tommy” Apiwattanakarn.

Arrested earlier were Ms Panjarat “Boss Tan” Kanokrakthanaphorn; Tananont “Boss Mor Ek” Hiranchaiwan; Ms Natpasorn “Boss Suay” Chatthanasor; Ms Yasikan “Boss Soda” Ekchisanuphong; Nantharat “Boss Om” Chaowanapreecha; Thawinphas “Boss Win” Phupattanarin; Hassayanont “Boss Pop” Ekchisanuphong, and celebrity Yuranunt “Sam” Pamornmontri.

The arrest of Mr Tananont followed an earlier unsuccessful attempt to track him down at the iCon Wellness centre in Bangkok. He is qualified as a medical technician but is accused of falsely presenting himself as a doctor of medicine.

Also in custody were three more members of The iCon Group: actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree, Ms Wilailak “Boss Oil” Jengsuwan; and Thanarot “Boss Off” Thitijariyawat.

Pol Maj Gen Montree Theskhan, commander of the Crime Suppression Division, ordered building management to prepare rooms to interrogate the fraud suspects and cleaning staff to clean detention rooms.

More than 1,100 people have filed fraud complaints against The iCon Group, which sold health and dietary supplements.

The company attracted many people by offering cheap online sales courses. But once they enrolled, they were asked for more money to buy products, followed by larger financial commitments to help advertise for new recruits.

泰國有直銷集團捲入層壓式詐騙風波 當局拘18人及凍結資產
2024-10-17 23:19
無綫新聞 TVB News

泰國一個直銷集團捲入層壓式詐騙風波,當局拘捕18人及凍結資產。

泰國警方不僅拘捕涉案iCON集團的行政總裁,還有一名電視主持及一名演員,據報他們曾游說受害者參加計劃。當局又凍結iCON集團多名高層的銀行帳戶,涉及金額折合約2,900萬港元。

iCON集團主要直銷食品、美容及保健產品等,當局指該公司利用名人代言,並透過提供廉價銷售課程,誘騙受害者購買旗下產品,再轉售他人去賺取內佣金,一旦產品賣不出去,集團就要求受害者繼續找客戶。

據報逾500人向警方報案,受害者包括低收入人士,亦有高薪運動員等。當局不排除有更多人被捕,部分成員面對洗黑錢、欺詐等罪名,可能監禁十年。

2024.10.14 The iCon Group has gradually faced complaints from a group of victims, leading to its expansion into a major case in Thailand.

THE ICON GROUP SCANDAL ECHOES PAST FRAUDS AS THAI CELEBS FACE BACKLASH

The facial expressions of the actors during the press conference involving The iCon Group business of Boss Paul (center). From top left: Kan Kanta Thaworn, bottom left: Sam Yuranunt, top right: Min Pechaya, and bottom right: Boy Pakorn. (Khaosod Photo)

BANGKOK — The iCon Group, a large business enterprise involving celebrities, influencers, and stars acting as “bosses” to promote online product sales, has gradually faced complaints from a group of victims, leading to its expansion into a major case in Thailand.

These complaints were aired through a hot-topic news discussion program “Ride the Wave” (Hoen Krasae in Thai) hosted by Kanchai Kamnerdploy on Channel 3 television, eventually evolving into a national-level case with hundreds of complainants.

They accused the group of running a Ponzi scheme by tricking them into buying large quantities of their beauty and consumer products to sell to others, only to find out there’s little demand. Many people said that the success of this business was not primarily based on selling products, but on persuading others to join the investment network.

The story that shocked society was that these people were encouraged to invest more and more until they were penniless. Some attempted suicide, and some died, with similar motivations stemming from their admiration for celebrities and trust in the wealthy image of stars or influencers.

A billboard of The iCon Group company featuring famous actors as presenters for various products including cosmetics, coffee, and supplements, once prominently displayed in the center of Pattaya city.

Especially notable is “Boss Paul” Waratthapon Waratthawarakul, owner of the catchphrase “10 years of misplaced diligence won’t make you rich,” founder and CEO of The iCon Group, an online business empire using the “buy-sell” model to generate enormous income.

He used his life story of growing up with a single mother in Bangkok’s slums, working hard to earn money, and paying for his own education. He started his business journey selling tiles online, learned, and eventually opened The iCon Group company in 2018, growing rapidly in 2021 with sales exceeding 5 billion baht, with credible famous stars joining to enhance the image.

This massive damage prompted the new Police Chief of the Royal Thai Police, Kittirat Phanphet, to order a full police investigation.

Similarly, the government, represented by Minister Attached to the Prime Minister’s Office Jiraporn Sinthuprai, who oversees consumer protection agencies, called an urgent meeting of all relevant agencies at Government House on October 11.

Boss Paul (Waratthapon Waratthawarakul), founder and CEO of The Icon Group, arriving to provide information to the police, insisting that his business is legal, at the Consumer Protection Police Division on October 12, 2024.

Subsequently, officials from the Office of the Consumer Protection Board (OCPB) led a raid on The Icon Group HQ in Bangkok’s Bang Khen district and at least 9 points of The iCon Group network companies.

Officials found several important pieces of evidence, especially the company’s product warehouses located in Moo 8, Khlong Si Subdistrict, Khlong Luang District, Pathum Thani Province. They found only 2 packing employees and very few products, contrary to the company’s assets of 700 million baht.

Meanwhile, the famous stars involved in this business, including Sam Yuranunt Pamornmontri, Boy Pakorn Chatborirak, Min Peechaya Wattanamontree, and Kan Kantathavorn, all came out to confirm that they were only presenters, not partners, and they were very sorry to learn that people had been seriously affected.

Then, each of them, except Boy Pakorn, gradually went to meet with police officers. Until Sunday, October 13, Pol. Maj. Gen. Sopon Saraphat, Deputy Commander of the Central Investigation Bureau, announced that so far, the executives of The iCon Group, Boss Paul, three famous stars (Sam, Min, and Kan), and other executives who had been accused, totaling 6 people, now have the status of “suspects.”

Some of the products belonging to a 66-year-old male victim in Chonburi province, who invested 500,000 baht after being misled by celebrities. He was only able to sell products worth a little over 1,000 baht, and the rest had to be donated.

Police summarized the total number of victims throughout the previous week to be as high as 800, with total damages of over 266 million baht. If it reaches 300 million baht, this case will be elevated to a special investigation by the DSI police.

Minister Jiraporn said that officials are currently collecting evidence based on facts, and the OCPB has sent a letter to the Anti-Money Laundering Office (AMLO) to issue a letter to freeze assets first. AMLO will monitor the assets, and if there’s any transfer, it may also fall under money laundering.

The iCon Group business was exposed as a scandalous case following the case of a husband and wife selling gold online, known as “Mae Tak and Pa Beer” or Ms. Kornkanok Suwanabut and Mr. Kanphon Ruangaram, which was found to have more than 200 victims.

The similarity to The iCon Group case is that many stars and influencers participated in marketing activities to promote their gold business to make it look credible and persuade people to buy.

Images of Mae Tuck and Pa Beer, a couple who posted on social media showcasing their wealth to entice people to buy their gold, before being investigated and found to be selling substandard products.

Moreover, “Mae Tak and Pa Beer” also created content distributed on social media boasting of wealth including branded assets, luxury watches, luxury cars, millions of cash in bundles, and a luxurious lifestyle.

Another similarity is the exposure of this fraudulent business through the “Ride the Wave” TV program, revealing that most of the gold from this shop did not meet standards and was far from the quality advertised, making it impossible to resell at a price close to what was paid. Also, the gold shop’s lottery was not legally correct.

Both were arrested and prosecuted for multiple legal offenses, including consumer-related offenses, public fraud, and also matters related to the Computer Act in bringing false information into the system.

During the prosecution, police seized their assets including several luxury cars, 16 land title deeds, real estate, 6 luxury watches, and various assets worth several million baht. However, the safe that appeared in the content to be full of luxury watches turned out to be empty.

An important issue of these similar large cases that those responsible must continue to investigate is whether there are police officers involved or benefiting from these dubious wealth-creating businesses.

曼谷——iCon 集团是一家大型商业企业,其雇佣名人、网红和明星充当“老板”来促进网络产品销售,该集团逐渐面临一群受害者的投诉,导致其在泰国扩大为一起重大案件。

这些投诉通过 Kanchai Kamnerdploy 在第三频道电视台主持的热门新闻讨论节目“乘风破浪”(泰语为 Hoen Krasae)播出,最终演变成一个有数百人投诉的全国性案件。

他们指责该团体实施庞氏骗局,诱骗他们大量购买其美容和消费产品,然后卖给他人,最后却发现需求量很小。许多人表示,该业务的成功主要不是基于销售产品,而是说服其他人加入投资网络。

令社会震惊的故事是,这些人被鼓励投资越来越多,直到身无分文。

2024.10.4 ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ

พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

.

สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกกลุ่มคนร้ายสร้างเว็บไซต์ปลอมหลอกลงทุนหุ้น โดยอ้างมีนักลงทุนมืออาชีพคอยแนะนำ สร้างความน่าเชื่อถือ ผู้เสียหายจึงทดลองลงทุนตามวิธีที่คนร้ายบอก ปรากฏว่าได้กำไรและสามารถถอนเงินได้จริง ต่อมาผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปลงทุนในจำนวนเงินมากขึ้น ปรากฏว่าได้กำไรในแพลตฟอร์มจริง แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ ได้รับความเสียหายจึงมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน

.

พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.สอท. รรท.ผบช.สอท. จึงได้สั่งการ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

.

กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 3 ต.ค. 67 พ.ต.อ.พิเชียรยศ อรุณพันธกุล ผกก.1 บก.สอท.1 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับเข้าควบคุมตัว น.ส.รัชตวรรณ (ขอสงวนนามสกุล ) อายุ 20 ปี ชาวนนทบุรี ในข้อหา “ร่วมกัน,ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และฟอกเงิน” โดยควบคุมตัวได้ที่บริเวณถนนสาธารณะ หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ตำบลปลายบาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี จึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ชุดสืบสวนทำการสืบสวนขยายผลกับคดีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

.

เบื้องต้น น.ส.รัชตวรรณฯ ให้การว่า เมื่อประมาณปี 2565 ได้มี น.ส.เมย์ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เพื่อนที่รู้จักทางเฟซบุ๊ก มาชักชวนไปสมัครงานขายของออนไลน์ ผ่านเพจชื่อ “หางานสายคลองธัญญะ” ต่อมาได้ติดต่อไปตามเพจดังกล่าว และแจ้งว่ามีงานให้ทำ โดยให้นัดพบกันที่เซียร์ รังสิต เมื่อไปถึงพบหญิงชื่อ น.ส.กาญจนา แจ้งว่ามาจากเพจดังกล่าว โดยได้ขอบัตรประชาชนไปโดยแจ้งว่าจะนำไปสมัครงานให้

.

ต่อมา น.ส.กาญจนา นำบัตรประชาชนไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วนำบัตรประชาชนมาคืน จากนั้นได้ใช้มือถือตัวเองมาสแกนหน้า อ้างว่าเป็นขั้นตอนการสมัครงาน และ น.ส.กาญจนาฯ ได้ทำขั้นตอนแบบเดียวกันกับอีกจำนวน 10 คน เมื่อดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย น.ส.กาญจนา ได้ให้ค่าเดินทางจำนวน 1,200 บาท ต่อมาทราบภายหลังคือถูกนำชื่อไปเปิดบัญชี

受害者被一伙创建虚假网站的犯罪分子诱骗投资股票,声称有专业投资者提供建议建立信誉 受害人随后按照犯罪分子讲述的方法尝试投资,看起来您确实盈利了并且能够提取资金。随后,受害人又将这笔钱转去进行更大金额的投资,但无法取款了,所以来向调查人员投诉。

2024.9.27 ตำรวจไซเบอร์บุกจับ 3 ผู้จัดหาซิมผีบัญชีม้า หลอกคนไทยเปิดกว่า 500 บัญชี ส่งขายบอสชาวจีน

ตำรวจไซเบอร์บุกจับ 3 ผู้จัดหาซิมผีบัญชีม้า หลอกคนไทยเปิดกว่า 500 บัญชี ส่งขายบอสชาวจีน

.

ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มีการปราบปรามจับกุม ซิมผี บัญชีม้า จากการสืบสวนทราบว่าได้มีผู้ลักลอบจัดหาซิมผี บัญชีม้า และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีที่ตั้งอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาใช้หลอกประชาชนคนไทยให้โอนเงินให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ดำเนินการสืบสวน เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการดังกล่าว

.

สืบเนื่องจากเมื่อประมาณวันที่ 19 กันยายน 2567 มีสายลับไม่ประสงค์ออกนาม มาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ว่าพวกตนถูกหลอกเปิดบัญชี กล่าวคือเมื่อประมาณเดือน กรกฎาคม 2567 ได้มีนายสะอาด หรือต้า ติดต่อสายลับว่าต้องการเปิดบัญชีพร้อมบัตร ATM แลกกับค่าจ้างประมาณ 3,000 ถึง 4,000 บาท เมื่อสายลับตอบตกลง ก็พาไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยให้เปิดบัญชีธนาคารพร้อมบัตร ATM และให้เปิดโมบายแบงกิ้ง เพื่อให้ได้รหัสเข้าโมบายแบงกิ้ง 6 หลัก จากนั้นก็จะพาสายลับไปพบกับธนกร หรือบาสที่ รีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สอด และให้นายบาสตรวจเอกสารบัญชีธนาคารบัตร ATM และรหัสแบงกิ้ง 6 หลัก จากนั้นนายบาสมีหน้าที่ให้สายลับทำการแสกนใบหน้า เมื่อแสกนเสร็จ นายบาสก็จะให้กลุ่มสายลับกลับไปก่อน

.

จากนั้นก็จะมี น.ส.กชกร หรือชิง แม่ของนายบาสเป็นผู้ควบคุมการจ่ายเงิน จ่ายเงินแก่นายบาสเพื่อนำไปให้นายต้าจำนวน 4,000 บาท เมื่อได้รับเงินนายต้าก็จะแบ่งให้สายลับหรือบุคคลที่ตนชักชวนให้มาเปิดบัญชีจำนวน 2,000 บาท อีก 2,000 บาท นายต้าก็จะเก็บไว้เอง ต่อมาประมาณวันที่ 19 ก.ย.67 กลุ่มสายลับได้ทราบว่ามีกลุ่มเพื่อนที่ถูกกลุ่มนายต้านายบาสชักชวนเปิดบัญชีเช่นเดียวกันเตือนว่า ให้ระวังจะนำบัญชีที่เปิดไว้ ไปใช้ในการกระทำความผิด จึงเกิดความกลัวรีบไปปิดบัญชี และเข้ามาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4

.

ต่อมาวันที่ 26 ก.ย.67 พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ติดตามจับกุมบุคคลทั้ง 3 คือ นายธนกร หรือบาส น.ส.กชกร หรือชิง และนายสะอาดหรือต้า ได้ที่บ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ที่ 9 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” จากการตรวจค้นภายในบ้านพักพบสมุดบัญชีธนาคารเป็นชื่อบุคคลอื่นจำนวน 19 เล่มและบัตร ATM จำนวน 6 ใบ

.

จากการสอบถามบุคคลทั้ง 3 ให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้เป็นคนที่ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนพร้อมใช้งานแล้วจริง โดยแบ่งหน้าที่กันทำ เนื่องจากเมื่อเดือนมกราคม 2567 ตนเองได้ค้นหาสมัครงานในเฟซบุ๊กพบโพสต์ข้อความงานสบายรายได้ดี ตนเองสนใจจึงได้ติดต่อไป และได้รับการตอบกลับจากแอดมินชื่อน้ำ ซึ่งแจ้งว่าตนเองอยู่ฝั่งเมียนม่า ทำงานร่วมกับสามีซึ่งเป็นคนจีนต้องการหาบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วพร้อมใช้จำนวนมาก เพื่อใช้ในการรับเงินเข้าและออกจากพวกเว็บพนันและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะให้บัญชีละ 4,500 บาท โดยที่ถ้าหาได้จะให้คนเปิดบัญชี 3,000 บาท คนที่เป็นนายหน้าจะได้บัญชีละ 1,000 บาท และ อีก 500 บาทเป็นค่าเปิดบัญชีกับทางธนาคาร ตนเองสนใจจึงช่วยกันได้จัดหาวัยรุ่นในพื้นที่เพื่อเปิดบัญชีให้

.

โดยนายบาสยังยอมรับอีกว่าตนเองได้ทำมาแล้วประมาณ 1 ปี จัดหาคนเปิดบัญชีมาแล้วกว่า 400 – 500 บัญชี และเมื่อตนเองจัดหาบัญชีได้แต่ละครั้ง ทางเฟซบุ๊กหางานดังกล่าวจะนัดติดต่อให้ตนเองนำบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนซิมการ์ดพร้อมใช้งาน ไปที่ตลาดใกล้ชายแดน และจะมีคนจากประเทศเพื่อนบ้านข้ามฝั่งมารับเอาสิ่งของดังกล่าวและจ่ายเงินให้กับตนเอง จนมาวันนี้ตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวตนเองจึงรู้ว่าสิ่งที่ตนเองได้ทำมาตลอด 1 ปีนี้ เป็นการกระทำความผิดกฎหมาย

网络警察突袭并逮捕了 3 名拥有马账户的幽灵模拟游戏提供商,骗泰国人开了500多个账户,发给中国老板。

『Thailand,ประเทศไทย,泰国』 10 อาชญากรรม, หลอกลงทุน, call center gang, แก๊งทุนจีน, คอลเซ็นเตอร์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ตำรวจสอบสวนกลาง, แก๊งคอลเซนเตอร์, อาชญากรข้ามชาติ, ตำรวจไซเบอร์, ลงทุนทิพย์, คริปโตเคอเรนซี, บัญชีม้า, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, เครือข่ายยาเสพติด, ภัยออนไลน์, มิจฉาชีพออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ, CIB, คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัว, คดี Virtual Kidnapping, แก๊งคอลฯเรียกค่าไถ่, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สน.บางรัก, อาชญากรรมกทม., ขบวนการหลอกลงทุน, คริปโต, ตำรวจไซเบอร์, บช.สอท., ฟอกเงิน, ยึดทรัพย์, ล่าทรชน, หลอกลงทุน, ฉ้อโกง, ถูกหลอกลงทุน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพ, แก๊งสแกรมเมอร์, บ่อนกาสิโน, บ่อนปอยเปต 2024.7.14-9.17

评论

发表回复

您的邮箱地址不会被公开。 必填项已用 * 标注