『Thailand,ประเทศไทย,泰国』 10 อาชญากรรม, หลอกลงทุน, call center gang, แก๊งทุนจีน, คอลเซ็นเตอร์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ตำรวจสอบสวนกลาง, แก๊งคอลเซนเตอร์, อาชญากรข้ามชาติ, ตำรวจไซเบอร์, ลงทุนทิพย์, คริปโตเคอเรนซี, บัญชีม้า, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, เครือข่ายยาเสพติด, ภัยออนไลน์, มิจฉาชีพออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ, CIB, คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัว, คดี Virtual Kidnapping, แก๊งคอลฯเรียกค่าไถ่, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สน.บางรัก, อาชญากรรมกทม., ขบวนการหลอกลงทุน, คริปโต, ตำรวจไซเบอร์, บช.สอท., ฟอกเงิน, ยึดทรัพย์, ล่าทรชน, หลอกลงทุน, ฉ้อโกง, ถูกหลอกลงทุน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพ 2024.5.7-7.5

2024.7.5 ตำรวจ ปอท. ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน สร้างแอปพลิเคชันปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิทัล ตามยึดทรัพย์สินกว่า 30 ล้านบาท

ปอท.ทลายแก๊งชาวจีนสร้างแอปฯ ปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินดิจิทัล ยึดทรัพย์กว่า 30 ล้าน

ตำรวจ ปอท. ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน สร้างแอปพลิเคชันปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิทัล ตามยึดทรัพย์สินกว่า 30 ล้านบาท

วันนี้ ( 5 ก.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์ สว.กก.1 บก.ปอท. ร.ต.อ.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ รอง สว.กก.1 บก.ปอท. นายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และ โฆษกประจำ ปปง. นายอนุรักษ์ บุญแสวง อดีต นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ดร.ปริญญา เธียรวร นักลงทุน ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ Lock Star” เครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ หรือไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ได้ผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ประกอบด้วย นายจีเว่ย เกา สัญชาติจีน อายุ 29 ปี นายจู เฉินสัญชาติจีน อายุ 28 ปี นายธนโชติ อายุ 33 ปี น.ส.ชณัฐธิษา อายุ 33 ปี นายศิวา อายุ 33 ปี และ น.ส.ชลดา อายุ 27 ปี ตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ข้อหา “ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันหลอกลวงโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, สมคบฟอกเงิน และ ร่วมกันฟอกเงิน”

พล.ต.ต.อธิป กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุนสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) ผ่านเว็บไซต์ชื่อ Tidex ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ปลอมขึ้นมาทั้งหมด อ้างให้ผลตอบแทนสูง จนมีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ โดยแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายจะหลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่สร้างขึ้นมา เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาคนร้ายก็จะทำการอัพเดตยอดเหรียญดิจิทัลที่แสดงในแอปพลิเคชันทุกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนที่โอนเข้าไป ทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่เมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงินออกมา กลุ่มคนร้ายก็จะอ้างติดปัญหาเรื่องภาษี ก่อนหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปเพิ่มอีก ด้วยความที่อยากได้เงินกลับคืนจึงยอมทำตามกลายเป็นสูญเงินเพิ่มขึ้นไปอีก รวมยอดเงินที่โอนเข้าไปรวมกว่า 22.4 ล้านบาท

ด้าน พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวว่า หลังรับเรื่องจึงเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินคนร้ายกลุ่มนี้ ทราบว่า หลังเหยื่อโอนเงินเข้ามาคนร้ายก็จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อเหรียญดิจิทัลแล้วโอนต่อไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลส่วนตัว หรือ Private wallet กว่า 20 กระเป๋า เพื่อเลี่ยงถูกตรวจสอบจากนั้นก็จะโอนเหรียญดิจิทัลไปรวมที่กระเป๋าเหรียญดิจิทัลกลางของคนร้าย ก่อนที่จะมีการเทขายเหรียญดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนจากเหรียญดิจิทัลให้กลายเป็นเงินบาทไทย

พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวต่อว่า จากแนวทางสืบสวนพบว่าคนร้ายกลุ่มนี้ทำกันในรูปแบบขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่หัวหน้า ทำหน้าที่สั่งการ, กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่าง ๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล และ กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่าง ๆ

พ.ต.ท.พรเสกข์ กล่าวว่า หลังสืบทราบพยานหลักฐานการกระทำผิดแน่ชัด จึงเร่งรวบรวมขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งคนจีนและคนไทย ที่เป็นกลุ่มระดับสั่งการ, ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน และรับผลประโยชน์ จำนวน 6 ราย โดยนำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เชียงราย นนทบุรี และ ปทุมธานี จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย พร้อมตรวจยึดบ้านหรู 1 หลัง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท, รถยนต์ 2 คัน, รถจักรยานยนต์ 2 คัน, เงินสดกว่า 4 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ และ เหรียญดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

ตร.-อสส.-ปปง. ร่วมทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวบนักธุรกิจเบื้องหลัง Call Center หลอกลงทุน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในกรุงเทพมหานคร เชียงราย นนทบุรี ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหากลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และคนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ดังนี้ MR.ZHIVEI GAO หรือ นายจีเว่ย เกา (สัญชาติจีน), MR.JUE CHEN หรือ นายจู เฉิน (สัญชาติจีน), นายธนโชติฯ, นางสาวชณัฐธิษาฯ, นายศิวาฯ และ น.ส.ชลดาฯ ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ ร่วมกันฟอกเงิน”

ตามที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุน โดยมีการโพสต์ข้อความสาธารณะลักษณะชักชวนให้เข้าไปลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) ผ่านเว็บไซต์ชื่อ Tidex เสนอให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน ต่อมาพบว่าไม่มีการลงทุนจริง และไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 22.4 ล้านบาท จากนั้นกลุ่มคนร้ายปิดเว็บไซต์ไป ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกับ อสส. และ ปปง. สืบสวนเส้นทางการเงิน และเส้นทางของเหรียญดิจิทัลที่ได้จากการฉ้อโกงผู้เสียหายพบว่า เป็นการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะแบ่งเป็น (1) หัวหน้า ทำหน้าที่ สั่งการ, (2) กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, (3) กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่างๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, (4) กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล (5) กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่าง ๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวจีนและชาวไทย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้นจำนวน 6 ราย เป็นชาวจีน 2 ราย ชาวไทย 4 ราย และตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ เป็นของมีค่าจำนวนหลายรายการ อาทิเช่น บ้านหรู จำนวน 1 หลัง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน, เงินสด (เงินไทยและต่างประเทศ) รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ และ เหรียญดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ปิยเดช แก้วแฝก, พ.ต.ท.อารัติ พายทอง, พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง ,พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร, พ.ต.ต.เริงศักดิ์ อุปลา สว.กก.1 บก.ปอท และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ดำเนินการ

又是高回报数字货币骗局!中泰跨国诈骗团伙6高管被捕 扣押3000万资产

泰国皇家警察中央调查局(CIB)举行新闻发布会,公布对一个中国人为首的混合诈骗团伙的突袭行动,捣毁了跨国犯罪组织Lock Star,6名电诈团伙管理成员被逮捕,缴获约3000万泰铢的资产。

泰国中央调查局通过技术犯罪抑制部门(CDC)联合捣毁了跨国犯罪组织、网络投资欺诈和混合诈骗(Hybrid Scam)团伙,逮捕了负责指挥和运营电诈中心的管理人员。

泰国技术犯罪打击部门指挥官Atip Pongsivapai表示,警方在曼谷、清莱、暖武里府和巴吞他尼府的四个地点,突袭了被称为“Lock Star”的混合诈骗团伙,逮捕了两名中国人和四名泰国人。

被逮捕的6人均在在电诈团伙内担任指挥和管理职务,2名中国人分别是29岁的高某某和28岁的陈某。泰国嫌疑人为 Thanchote(33 岁)、Chanatthiya(33 岁)、Siva(33 岁)和 Cholada(27 岁)。

他们被指控非法串谋参与跨国犯罪组织、公共欺诈、向计算机系统输入虚假信息以及洗钱。

泰国警方早前收到受害者的报案,被骗通过一款名为Tidex的虚假应用程序投资数字货币,该应用程序承诺高额回报。骗局包括说服受害者安装应用程序并转账,然后更新应用程序中显示相应的数字货币金额,使其看起来可信并诱惑进一步投资。

“但是受害者却无法再取出资金,因为骗子声称存在税务问题,导致受害者在应用程序中添加更多资金,”指挥官说。

骗子们随后将这些钱转移到他们的私人数字钱包,以避免调查,然后再出售加密货币并将其兑换成泰铢,完成洗钱。

在逮捕行动中,警方扣押了犯罪团伙一栋价值超过1200万泰铢的豪宅、两辆豪车、两辆摩托车、超过400万泰铢的现金、金项链、奢侈手表、名牌包、电脑、笔记本电脑、智能手机和价值约200万泰铢的各种数字货币。

2024.6.28 จับแก๊งคอลฯจีนตั้งฐานในเชียงใหม่ โทรฯหลอกเหยื่อโอนเงินจากประเทศจีน ตร.ไซเบอร์ แถลงทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนข้ามชาติตั้งฐานในเชียงใหม่ โทรฯหลอกเหยื่อโอนเงินจากประเทศจีน

จับแก๊งคอลชาวจีน-พม่า เปิดพูลวิลล่าเชียงใหม่ โทรหลอกเหยื่อแดนมังกรโอนเงิน

จับแก๊งคอลชาวจีน-พม่า เปิดพูลวิลล่าเชียงใหม่ฐานบัญชาการ โทรหลอกเหยื่อแดนมังกรโอนเงิน สร้างสตอรี่ให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 มิถุนายน ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.จิตติพล ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.อุกฤช ศรีนิติวรวงศ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.5 สั่งการนำหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ตรวจค้น Brick Box Pool Villa & Café ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 65 หมู่ 4 ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา 13 ราย สัญชาติจีน 7 คน สัญชาติเมียนมา 6 คน 1.MR. LUO. FUREN อายุ 23 ปี สัญชาติจีน 2.MISS XIE. YEPING อายุ 43 ปี สัญชาติจีน 3.MR.XIE. JUN อายุ 42 ปี สัญชาติจีน 4.MISS HUANG XIU YUAN อายุ 32 ปี สัญชาติจีน 5.MR. HUANG DONGLIN อายุ 35 ปี สัญชาติจีน 6.MR.XIE WEIQIANG อายุ 24 ปี สัญชาติจีน 7.MR.XIE. XIN อายุ 26 ปี สัญชาติจีน 8.MISS CHIN LAN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 9.MISS RUN MAY YIN อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 10.MISS YAN KYAIN LAR อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 11.MISS SHOUT AE อายุ 24 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 12.MISS SWAN KYIN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 13.MISS MAR SEE SHAN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดจีน 90 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง เอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน 1 ชุด บัญชีของกลาง

พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 และ 5 ได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนในพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่ามีการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ และกลุ่มคนจีนทำงานลักษณะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่ จึงได้ทำการสืบสวนตรวจสอบสถานที่พูลวิลล่า Brick Box Pool Villa & Café จว.เชียงใหม่ มีกลุ่มต่างชาติสัญชาติจีน และกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์ 10-15 คน จึงได้ตรวจสอบข้อมูลทางเทคนิค และเฝ้าสังเกตการณ์พบว่าสถานที่พักอาศัยกลุ่มชาวจีน มีลักษณะปกปิดเฉพาะกลุ่มคนจีนพักอาศัย มีรั้วกั้น มีกล้องวงจรปิด และมีการเปิดไฟส่องสว่างช่วงกลางคืน เชื่อว่ามีการทำงานของกลุ่มแก๊งคนจีน เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้าทำการตรวจค้นภายใน พูลวิลล่า4 Brick Box Pool Villa & Café จว.เชียงใหม่ พบชาวต่างชาติสัญชาติจีน และตางด้าว สัญชาติเมียนมาร์ นั่งทำงานอยู่ภายในห้องพบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ทบุ๊ค 8 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 94 เครื่อง และเอกสารภาษาจีน 3 แผ่น

จากการสอบสวนผู้ต้องที่ถูกจับให้การว่า ได้ทำหน้าที่กันเป็นกลุ่มร่วมกันหลอกลวงคนจีนที่ประเทศจีน ให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว ทุกคนจะมีโทรศัพท์ประจำตัวคนละ 3 เครื่อง

จากนั้นจะมีคนส่งรายชื่อคนจีนมาให้ทางแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมในเครื่องโทรศัพท์ของแต่ละคน โดยแต่ละคนมีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าตามที่ได้รายชื่อมา ซึ่งเป็นรายชื่อของผู้ที่ทำประกันภัยซึ่งมีอยู่จริง จากนั้นใช้โทรศัพท์ที่มีประจำตัวแต่ละคน ที่มีอีกสองเครื่องโทรไปหลอกถามคนจีนที่ประเทศจีนว่า ประกันภัยอายุแล้ว ตอนนี้สนใจจะทำประกันต่อหรือจะยกเลิก ถ้าซื้อต่อจะมีราคาโปรโมชั่น มีจ่ายค่าทำประกันในราคา 800-2000 หยวน ถ้าหากมีลูกค้าสนใจก็จะบอกลูกค้าว่าจะหักเงินผ่านบัญชีอัตโนมัติ ถ้าหากไม่สนใจก็จะแจ้งให้คนที่ถูกหลอกทราบว่าจะมีพนักงานติดต่อกลับไปเพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ถูกหลอกสำหรับใช้ยกเลิก

จากนั้นจะส่งข้อมูลของผู้ที่สนใจหรือไม่สนใจเข้าไปยังผู้ต้องหาอีกกลุ่มหนึ่งผ่านแอปพลิเคชั่นเทเลแกรม ทำหน้าที่รับช่วงต่อซึ่งจะติดต่อกับคนจีนที่ไม่สนใจทำประกันภัย โดยแจ้งว่าเป็นประชาสัมพันธ์ของเว็บไซต์ จากนั้นก็จะส่งรายละเอียดการทำประกันภัย เมื่อถึงขั้นตอนการชำระเงินเพื่อทำประกันภัย ก็จะส่งต่อให้กับผู้ร่วมกระทำความผิดอีกกลุ่มหนึ่ง และส่งข้อมูลให้ในไลน์กลุ่มแอปพลิเคชั่นเทเลแกรม โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ ชื่อ teng xun wei bao แจ้งให้ผู้ถูกหลอก ทราบว่า หากยกเลิกไม่ทำประกันภัยต่อก็จะถูกหักเงินอัตโนมัติ ประมาณเดือนละ 100-300 หยวน จากนั้นจะขอข้อมูลจากลูกค้าเพื่อยกเลิกการทำประกันภัย พร้อมกับส่งข้อมูลการเป็นเจ้าหน้าที่ จากนั้นขอรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชนของลูกค้า เมื่อได้มาแล้วก็จะส่งข้อมูลให้กับผู้ร่วมกระทำผิดอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อดูดเงินจากบัญชีของเหยื่อ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน จึงควบคุมตัวพร้อมของกลาง นำตัวส่งพนักงานสอบสวนบก.สอท.4 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้านพล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท.กล่าวว่า แก๊งนี้คาดว่าจะหลอกลวงผู้เสียหายวันนับ 10 รายความเสียหายวันละกว่าล้านบาท ขณะนี้พบตัวผู้เสียหายชาวจีนชัดเจน 2 ราย แต่คาดว่าจะมีผู้เสียหายทั่วประเทศจีนทั้งหมดกว่า 20 ราย ซึ่งกรณีนี้ทางตำรวจไซเบอร์จะเดินทางไปประสานงานกับทางการจีนต่อไป ทั้งนี้ หากพบว่ามีชาวต่างชาติที่ทำงานในลักษณะน่าสงสัย เช่น มีการแบ่งห้อง มีการใช้อินเทอร์เน็ต หรือมีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขาที่ไม่น่าเป็นไปได้ ขอให้แจ้งมายังศูนย์AOC 1441 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าสืบสวนการกระทำความผิดและจับกุมต่อไป

จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนตั้งฐานในเชียงใหม่ หลอกคนจีนลงทุน

ตำรวจไซเบอร์จับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จีนข้ามชาติตั้งฐานใน จ.เชียงใหม่ โทรหลอกกลุ่มเป้าหมายชาวจีนลงทุนประกันเงินออม

วันนี้ (28 มิ.ย.2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 (สอท.4) บุกเข้าตรวจค้นที่พักลักษณะเป็นพูลวิลล่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ หลังขยายผลจากผู้ต้องหาลักลอบขายเครื่องแปลงสัญญาณในพื้นที่ จ.พัทลุง จนทราบว่ามีรายชื่อลูกค้าเป้าหมายปลายทางคือ จ.เชียงใหม่

เมื่อสืบสวนจนทราบว่า มีกลุ่มชาวจีนเปิดที่พักอาศัยทำเป็นฐานปฎิบัติการคอลเซ็นเตอร์หลอกชาวจีนโอนเงิน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นจนสามารถควบคุมตัวชาวจีนได้ 7 คน แรงงานชาวเมียนมา 6 คน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ยังยึดของกลางเป็นกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดประเทศจีน 90 อัน, คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง, เอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน 1 ชุด, บัญชีธนาคารประเทศจีน, อุปกรณ์แปลงสัญญาณโทรศัพท์, อุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กระทำความผิดรวมกว่า 100 รายการ และสินค้าหนีภาษีจำนวนมาก

จากการซักถามผู้ต้องหา เบื้องต้นรับสารภาพว่าทำงานในลักษณะของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จริง หลอกลวงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว โดยติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายตามที่ได้รายชื่อมาจากข้อมูลผู้ที่เคยทำประกันไว้ในประเทศจีน และมีการวางแผนทำงานเป็นขั้นตอน

หากกลุ่มเป้าหมายปฎิเสธทำประกันจะให้อีกกลุ่มหนึ่งติดต่อกลับ พร้อมแจ้งว่าจะมีการหักเงินบัญชีอัตโนมัติ โดยหลอกเอาข้อมูลขื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ ให้อีกกลุ่มหนึ่งดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เบื้องต้นพบผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 20 คนในประเทศจีน เตรียมประสานทางการจีนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ตำรวจไทยจะไม่ยอมให้ใครมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งต้องประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดมาร่วมสอบสวนทางคดีด้วย

เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และอีกหลายข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

数名中国公民被捕!泰国警方破获跨国电信诈骗集团

6月28日,在曼谷Muang Thong Thani国家警察总局培训和研讨大楼,科技犯罪调查局局长沃拉瓦塔纳警中将及相关警察召开新闻发布会,通报了突袭清迈基地的跨国中国诈骗集团通过电话诱导中国受害者汇款的案件。

根据1月10日的行动,沃拉瓦塔纳警中将指派副局长普米帕警少将,带领警察和国家广播电视委员会工作人员,持有博他仑府法院的搜查令,突袭位于该府的一社区(万华南村)的一家公司。行动成功抓捕了一名涉嫌非法销售VoIP GSM Gateway设备的嫌疑人。这些设备常被诈骗集团用来转换手机信号,以联系受害者并进行诈骗。

在此次突袭行动中,科技犯罪调查局第五分局分析新闻和特殊工具部门发现了重要信息,并将调查范围扩大至南部地区,发现这些设备与跨国电信诈骗集团有联系。这些诈骗集团主要由中国籍和缅甸籍人员组成,常在清迈府Doi Saket区活动。
进一步调查和潜伏在当地的线人信息显示,位于清迈府Doi Saket区Pa Miang村4组的一座池畔别墅被当作诈骗集团的藏匿据点。据了解,这座别墅内住着大约10到15名外籍人员,包括中国籍和缅甸籍。这些人的活动非常隐秘,别墅周围设有围栏和监控摄像头,并且夜间灯火通明。

随后,警方联合突袭了该基地。在搜查过程中,发现了7名中国籍和6名缅甸籍嫌疑人,共计13人。现场查获了1台台式电脑、8台笔记本电脑、94部手机,以及3张手写的中文文档和其他电信诈骗设备,共计104件物品。此外,还发现了大量走私进口货物。

初步讯问显示,嫌疑人承认他们从事电信诈骗活动,主要通过电话诈骗中国受害者投资长期保险。每人持有3部手机,并通过Telegram与受害人联系,骗取其个人信息和资金。

警方最终以涉嫌“参与跨国犯罪组织、参与黑帮活动、参与犯罪团伙、冒充他人进行诈骗、以虚假或伪造的计算机数据进行诈骗”等罪名,将这些嫌疑人移交至第4分局处理。同时,警方正在继续调查和搜集证据,以便进一步抓捕与该案有关的其他嫌疑人。

2024.6.24 ดีเอสไอ เตรียมส่งตัว “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ต่ออัยการในวันนี้ (24 มิ.ย.67) คดีฉ้อโกง STARK หลังหนีออกนอกประเทศไปกว่า 8 เดือน และถูกควบคุมตัวได้แล้ว “ทวี สอดส่อง” ยันการสอบสวนต้องรัดกุม รอบคุม เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมาให้ได้

ดีเอสไอ ส่งตัว ชนินทร์ คดีฉ้อโกง STARK ให้อัยการวันนี้ หลังถูกคุมตัวถึงไทยแล้ว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -24 มิ.ย. 67 9:37: น.

ดีเอสไอ เตรียมส่งตัว “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ต่ออัยการในวันนี้ (24 มิ.ย.67) คดีฉ้อโกง STARK หลังหนีออกนอกประเทศไปกว่า 8 เดือน และถูกควบคุมตัวได้แล้ว “ทวี สอดส่อง” ยันการสอบสวนต้องรัดกุม รอบคุม เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมาให้ได้

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รักษาราชการแทนอธิบดี นำคณะพนักงานสอบสวนกองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน เจ้าหน้าที่กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กองปฏิบัติการพิเศษ พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้ควบคุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ กรรมการบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่หลบหนีหมายจับไปต่างประเทศ ตั้งแต่กลางปี 2566

การจับกุมนายชนินทร์ครั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานกับทางการสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AUE) ให้ส่งตัวนายชนินทร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ดีเอสไอร้องขอไปยังองค์กรตำรวจสากล (INTERPOL) ให้ดำเนินการติดตามส่งตัว เพื่อดีเอสไอ จะได้นำตัวส่งพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า การดำเนินการได้ตัวนายชนินทร์ เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกประการ และเป็นการดีที่ผู้ต้องหาจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความผิดถูก ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้กำกับให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนอย่างรอบคอบและรัดกุม ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเรื่องนี้เป็นคดีเกี่ยวกับตลาดทุนที่ประชาชนและทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนของประเทศให้กลับคืนมา

ทั้งนี้พนักงานดีเอสไอ จะส่งตัวนายชนินทร์ ไปยังอัยการ ในวันที่ 24 มิ.ย. 67 โดยคดีดังกล่าว พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเสษ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 ราย เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.66 ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพยืและตลาดหลักทรัพย์ฯ ฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวนกฎหมายอาญาและฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผู้บริหาร ก.ล.ต. รวมถึง กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร่วมด้วยการควบคุมตัวนายชนินทร์ หลังถูกจับกุมตัวได้โดยหน่วยงานของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ตามที่รัฐบาลไทยร้องขอ สืบเนื่องจากคดีที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษกรณีตกแต่งงบการเงินของ STARK เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง ซึ่งการดำเนินการกรณีนี้จะมีการควบคุมตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษก่อนจะถูกส่งตัวให้พนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานงานและให้ความร่วมมือกับ DSI สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานอัยการสูงสุด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ และจะประสานและให้ความร่วมมือในการทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป

ส่งฟ้อง “ชนินทร์” คดีฉ้อโกง STARK เมินยื่นประกันพร้อมสู้สุดตัวยันไม่ใช่คนได้ประโยชน์
24 มิ.ย. 67 15:51น.

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่คดีพิเศษปฏิบัติการ (ปพ.) และเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว DSI ควบคุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตประธานกรรมการ บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) จำเลยรายสำคัญในคดีทุจริตบริษัท สตาร์คฯ จากห้องควบคุมตัวผู้ต้องขัง ชั้น 6 ออกจากอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเดินทางไปให้อัยการส่งฟ้อง
ทั้งนี้ ระหว่างการคุมตัวผู้ต้องหาออกจากอาคาร ผู้สื่อข่าวหลากหลายสำนักที่ได้ปักหลักติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงเช้าได้รุดสอบถาม ว่า มีอะไรอยากจะกล่าวหรือไม่ ในกรณีที่ถูกนำตัวสั่งฟ้อง และเป็นผู้ต้องหารายสุดท้ายแล้ว รวมถึงได้มีการร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่ และถามอีกว่ากรณีที่มีบางคนไม่ถูกสั่งฟ้อง คิดเห็นอย่างไร และถูกข่มขู่คุกคามชีวิตจริงหรือไม่ จะต่อสู้คดีหลังจากนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวเงียบไม่ตอบคำถาม

เมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรที่นายชินวัฒน์ อัศวโภคี อีกหนึ่งอดีตผู้บริหารคนสำคัญของ STARK ไม่ถูกอัยการสั่งฟ้อง นายชนินทร์ ได้หันมามองแต่ไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนถูกคุมตัวขึ้นรถทีทันที โดยมีเจ้าหน้าที่ DSI ประกบข้างมุ่งหน้าไปยังสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการตามขั้นตอนต่อไป

นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาในความผิดเกี่ยวกับการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารร่วมกันทำงบดุลหรือบัญชีอันเป็นเท็จในเรื่องผลกำไร ฉ้อโกงประชาชนชี้ชวนหลอกลวงด้วยการแสดงความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับผลกำไรต่อประชาชนและสถาบันการเงิน ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ยักยอกในฐานะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นลักษณะความผิดเดียวกับผู้ต้องหาที่ยื่นฟ้องไปก่อนหน้านี้

ท้ายคำร้อง หากจำเลยขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้านเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกมีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยดำเนินการเป็นกระบวนการและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมากและทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมซึ่งเป็นความผิดจำนวนมาก โดยจำเลยได้เคยหลบหนีระหว่างสอบสวนมาแล้ว และคดีมีอัตราโทษสูงเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายแล้ว หากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ประสงค์จะสืบพยานประกอบคำรับสารภาพด้วย

ขณะที่ นายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความของนายชนินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้อัยการได้ส่งฟ้องนายชนินทร์แล้ว และนายชนินทร์ไม่ประสงค์จะขอประกันตัว โดยจะขอต่อสู้คดีในชั้นศาลว่าไม่ใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการกระทำผิดในคดีดังกล่าว

คุม “ชนินทร์” ฝากขังคดีหุ้น STARK เจ้าตัวไม่ยื่นประกัน
24 มิ.ย. 67 20:33

DSI คุมตัว “ชนินทร์” นำส่งตัวต่ออัยการสูงสุดและศาลอาญา ในคดีหุ้นสตาร์ค ขณะที่ผู้เสียหายรวมตัวเรียกร้องให้ขยายผลสอบสวนเพิ่มเติม หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้านทนายความยืนยันชนินทร์ไม่ขอประกันตัว พร้อมสู้คดี
วันนี้ (24 มิ.ย.2567) ผู้เสียหายคดีทุจริตหุ้นสตาร์คฯ รวมตัวกว่า 50 คน ที่บริเวณหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นข้อเรียกร้องไม่ให้ศาลอาญาพิจารณาอนุญาตประกันตัวนายชนินทร์ เย็นสุขใจ อดีตผู้บริหารบริษัทสตาร์คฯ

ผู้เสียหาย ระบุว่า ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาดำเนินคดีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แต่ระดับสั่งการถูกดำเนินคดีน้อยมาก แม้จับกุมตัวนายชนินทร์ได้แล้ว แต่ข้อมูลการสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถโยงไปถึงตัวผู้บริหารรายอื่น ๆ และเจ้าหน้าที่ยังจะส่งสำนวนเดิมตั้งแต่ต้นปี โดยไม่มีการสืบสวนต่อ

ทั้งนี้ ผู้เสียหาย ตั้งข้อสังเกตว่าจากกรณีที่ทนายความของนายชนินทร์ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ ว่า กรณีของนายชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทสตาร์คฯ ไม่มีคำสั่งฟ้อง ยังไม่มีความผิดและถูกกันไว้เป็นพยาน แต่ผู้เสียหายมองว่า ผู้ที่ร่วมกระทำความผิด โดยลงลายมือชื่อในงบการเงินที่เป็นเอกสารเท็จ ต้องได้รับโทษด้วยหรือไม่

ขณะที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ควบคุมตัวนายชนินทร์ มาที่สำนักงานอัยการสูงสุด ก่อนจะเดินทางไปศาลอาญา เพื่อยื่นฟ้องในคดีดังกล่าว และพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ โดยนายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความ ยืนยันว่า นายชนินทร์ ไม่ขอประกันตัว และพร้อมสู้คดีตามกฎหมาย ซึ่งเหตุผลที่ไม่ประกันตัว ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิต และอยากต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม

ทนายความ ระบุว่า เตรียมใช้เอกสารคำสั่งฟ้องจำเลยในคดีเดียวกัน ซึ่งมีคำสั่งยกฟ้อง เช่น นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ รวมถึงเตรียมเอกสารคำให้การของนายชนินทร์ โดยมองว่า น่าจะเป็นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงในการต่อสู้คดีได้

ด้านนายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า การนำตัวนายชนินทร์กลับมาดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน อาจไม่ได้กอบกู้ความเชื่อมั่นนักลงทุน ในแง่การกำกับดูแลการทุจริตในตลาดทุนมากนัก เนื่องจากความเสียหายจากการทุจริตเกิดขึ้นแล้ว และแม้ กลต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะออกมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ แต่ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าปัญหาการทุจริตจะไม่เกิดขึ้นในตลาดทุนอีก

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK หลังจับกุม “ชนินทร์ เย็นสุดใจ”
วันที่ 24 มิถุนายน 2567 – 12:04 น.

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK หลังจับกุม “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” จากที่สร้างประวัติศาสตร์ฉาว จนสั่นสะเทือนตลาดทุนไทยครั้งสำคัญ เพราะเป็นการปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จนเกิดวิกฤตเชื่อมั่น

วันที่ 24 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK กลับมาเป็นที่สนใจของประชาชนอีกครั้งในช่วงเวลานี้ หลังเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหาร STARK กลับมาดำเนินคดีที่ไทยได้สำเร็จ หลังหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศนานเกือบ 1 ปี

โดยการกลับมาของ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ต้องถือว่าจุดความหวังให้กับผู้เสียหาย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่ขณะนี้ต่างกำลังต่อสู้คดีในชั้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย และเอาผิดกับผู้บริหารที่ร่วมกัน ตกแต่งบัญชีงบการเงิน และยักยอกทรัพย์สินของบริษัทไปหลายหมื่นล้าน

ล่าสุดทางด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวว่า ดีเอสไอได้แจ้ง 6 ข้อหาสำคัญต่อ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประกอบด้วย 1.ฉ้อโกงทรัพย์สินประชาชน 2.กระทำความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3.การปลอมแปลงบันทึกบัญชีเป็นเท็จ 4.ผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท ไม่ระมัดระวัง 5.กระทำการทุจริต และ 6.ฟอกเงิน

โดยวันนี้ (24 มิ.ย. 2567) เวลา 13.00 น. พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะนำตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอยังคงสอบสวนเพิ่มเติมคดีฟอกเงิน โดยขอเวลา 1 เดือน จะเห็นความชัดเจนใครที่รับโอนเงินไปบ้าง

สำหรับคดีหุ้น STARK พบว่ามีการตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนให้ได้รับความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท และที่ผ่านมาดีเอสไอสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 คน หนึ่งในนั้นคือ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ แต่หลบหนีออกประเทศไป ก่อนจะควบคุมตัวได้เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK
ทั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” จะพาไปย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK ที่สร้างประวัติศาสตร์ฉาวจนสั่นสะเทือนตลาดทุนไทยครั้งสำคัญ เพราะเป็นการปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จนเกิดวิกฤตเชื่อมั่นในตลาดทุนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

โดยจากที่บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ได้เปิดเผยงบการเงินประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ซึ่งผู้สอบบัญชี (PwC) ตรวจพบปัญหาการตกแต่งบัญชีหลายรายการ โดยการสร้างยอดรอเรียกเก็บหนี้จากลูกค้าปลอม ยอดขายปลอม และสร้างรายการจ่ายเงินซื้อสินค้าล่วงหน้า ให้กับบริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งสมอ้างเป็นบริษัทคู่ค้า โดยไม่มีการซื้อขายหรือจ่ายเงินจริง คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 26,816 ล้านบาท

โดยธุรกรรมอำพรางทั้งหมดเกี่ยวพันกับ 3 บริษัทย่อยของ STARK คือ 1.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) 2.บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) และ 3.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด (ADS)

โดยพบว่า “เฟ้ลปส์ ดอด์จ” มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงสูงถึง 24,452 ล้านบาท ตามมาด้วย “อดิสรสงขลา” มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริง 1,045 ล้านบาท และ “ไทย เคเบิ้ลฯ” อีกมูลค่า 689 ล้านบาท

ส่งผลให้ตลอดช่วง 2 ปี ที่มีการตกแต่งบัญชีและโอนเงินให้บริษัทร่วมขบวนการ STARK มีผลขาดทุนรวมมากกว่า 12,640 ล้านบาท โดยในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท และในปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท

ความเสียหายหลายหมื่นล้าน
กรณีของ STARK ถือเป็นกรณีสร้างความเสียหายมากที่สุดกรณีหนึ่ง ทั้งความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยจากมูลค่าหุ้นที่ลดลงจากที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านบาท เหลือไม่ถึง 2,000 ล้านบาท (19 มิ.ย. 2566) โดยเฉพาะความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ไปถึงผู้ถือหน่วยกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในหุ้น STARK รวมทั้งผู้ถือหุ้นกู้ 5 ชุด อีกหลายพันราย วงเงินรวม 9,198 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่อไปอีกราว 8,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเปิดเผยงบการเงิน STARK พบว่ามีการทำธุรกรรมอำพรางโยกย้ายเงินไปที่บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กว่า 10,000 ล้านบาทนั้น ซึ่งหมายเหตุประกอบงบฯระบุว่า บริษัทดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STARK

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็คือ “นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STARK และเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมของบริษัท เอเชีย แปซิฟิกฯ ด้วย อย่างไรก็ดี นายวนรัตช์ได้มีการชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำผิดที่อยู่ภายใต้อำนาจของอดีตผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีส่วนรับรู้และจัดการ

ปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่
แหล่งข่าวกล่าวว่า รายการที่ทำให้ STARK เกิดปัญหาและเจ๊งคือ รายการจ่ายเงินล่วงหน้าค่าสินค้า มูลค่า 10,451 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2565 ซึ่งหากย้อนไทม์ไลน์จะพบว่าเป็นช่วงที่ STARK มีการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ให้กับนักลงทุนสถาบัน 12 ราย วงเงิน 5,580 ล้านบาท และออกหุ้นกู้ลอตใหม่เสร็จสิ้น ได้เงินมาทั้งหมดกว่าหมื่นล้านบาท แต่ทำไมธุรกิจเจ๊ง แล้วเงินหายไปไหน

“เหตุการณ์การโกงของ STARK คนที่เซ็นเอกสารใครมอบอำนาจ และคนที่มอบอำนาจจะรับรู้หรือไม่รับรู้กับการโกงครั้งนี้ แต่สะท้อนถึงความหละหลวมตั้งแต่ต้น ซึ่งจริง ๆ เคส STARK ไม่เคยเจอที่เป็น บจ. ในตลาดหุ้น แต่เคยเจอบ้างในธุรกิจเอสเอ็มอีที่มียอดขาย 100 ล้านบาทต่อปี ที่มีการตั้งบริษัทอีกแห่งขึ้นมาซื้อขายเพื่อผ่องถ่ายกำไร”

ที่มารื้อ กม. สังคายนา “ตลาดทุน”
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นหนึ่งในกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอดีตประธาน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ มือกฎหมายธุรกิจ ได้กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้ว่า กรณีที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่ากระบวนการตรวจสอบข้อมูลของตลาดทุนมีจุดอ่อน ทำให้เกิดช่องโหว่ที่เปิดช่องให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนทำการทุจริต

ตั้งแต่การทำงานของคณะกรรมการบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งจะพบว่ากรณีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการทำธุรกรรมอำพรางในต่างประเทศ เช่น เคส EARTH ก็เป็นการทำดีลซื้อเหมืองที่อินโดนีเซีย ทำให้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลยุ่งยากมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญต้องเร่งกระบวนการเอาคนโกงมาลงโทษให้เร็วที่สุด และยับยั้งความเสียหาย สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องประสานการทำงานกับ ปปง. ดีเอสไอ ทำคดีอย่างรวดเร็ว เพราะจากความผิดที่เกิดขึ้นก็น่าจะถือว่าเป็นการฉ้อโกง หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเทกแอ็กชั่นอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องความเสียหายของนักลงทุน

“ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมากระบวนการทางกฎหมายเพื่อเอาคนโกงมาลงโทษนั้นใช้เวลานานเป็นปี หรือหลายปี หรือผู้กระทำผิดหลบหนีไปแล้ว แนวทางคือต้องมีการบูรณาการการทำงานของ ก.ล.ต. ปปง. ดีเอสไอ เป็นคณะทำงานร่วม”

เปิด 14 มาตรการยกระดับกำกับตลาดหุ้น
นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกฎหมาย และหัวหน้ากลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร ในฐานะโฆษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อ 25 เม.ย. 2567 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินการยกระดับมาตรการกำกับดูแลตลาดหุ้นเพื่อยกระดับความเชื่อมั่น ซึ่งมีทั้งหมด 14 มาตรการดังนี้

1.ให้ขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ได้ ที่ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567

2.เพิ่มมาตรการให้ซื้อขายด้วย Auction สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย เลเวล 2 เพื่อใช้ควบคุมการกำกับดูแลหุ้นที่มีความผันผวนหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ

3.กำหนดเวลาขั้นต่ำของ Order ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่ง (Minimum Resting Time) ไว้ที่ 0.250 วินาที (250 Milliseconds) เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กรณีส่งคำสั่งซื้อและส่งคำสั่งขาย และถอนออกเร็ว ๆ และกำหนดคำสั่งที่มีการแก้ไขหรือยกเลิกก่อนเวลาดังกล่าวจะถูกปฏิเสธ (Reject) โดยระบบทันที

4.กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและลูกค้าที่ใช้โปรแกรมเทรดดิ้งรูปแบบการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading : HFT) และใช้ SET Colocation (ติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเชื่อมต่อส่งคำสั่งซื้อขาย) จะถูกกำกับดูแล โดยกำหนดต้องยื่นคำขอและไฟลิ่งข้อมูล (Register) ที่เกี่ยวข้องให้สามารถเห็นข้อมูลผู้ลงทุนในระดับ Sub-Account ของ Omnibus Account ทั้งนี้จะมีข้อตกลงว่าถ้ามีพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมจะมีการระงับการซื้อขายผ่านช่องทางนี้ก็ได้

“กลุ่มนักลงทุนที่ใช้ HFT ซึ่งอาจจะมองเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการซื้อขายไม่เหมาะสม มีการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าเร็วออกเร็ว ดังนั้นเราจะเข้าไปดูพฤติกรรรมกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งต้องลงทะเบียนเพื่อให้รู้ตัวตนได้”

ส่วนแนวทางการกำกับเรื่องอื่น ๆ อีก 10 มาตรการ ประกอบด้วย 1.การทบทวนหลักทรัพย์ที่ชอร์ตเซลได้ กรณี Non-SET 100 ต้องมีขนาดมาร์เก็ตแคปมากกว่า 7,500 ล้านบาท (จากเดิม 5,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ต้องมี Turnover เฉลี่ย 12 เดือน ที่ 2% (จากเดิมไม่กำหนด) โดยจะมีผลบังคับใช้ช่วงปลายไตรมาส 2/2567

2.การเพิ่ม Daily Short Selling Limit เนื่องจากมาตรการกำหนดปริมาณสูงสุดของการขายชอร์ตและยังไม่ได้ซื้อคืน (10% ของ Total Listed Shares ของบริษัท) ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสูงสุดที่เคยเจออยู่ที่ประมาณ 3% และค่าเฉลี่ยน้อยกว่า 1% เท่านั้น ประกอบกับมาตรการอื่น ๆ ที่จะเริ่มใช้บังคับ จะสามารถควบคุมธุรกรรมขายชอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ในขณะนี้เห็นว่าอาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการ Daily Short Selling Limit

3.จัดให้มี Central Platform ในการ Check หลักทรัพย์ก่อนขาย เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลกลางสำหรับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและตลาดหลักทรัพย์ ในการตรวจสอบ Availability ของหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนก่อนขาย ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการขายหุ้นโดยไม่มีหลักทรัพย์ในครองครอง (Naked Short Selling) ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนหารือรายละเอียดเพิ่มเติมกับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกในการส่งข้อมูลของทุกบริษัท

4.การเพิ่ม Circuit Breaker รายหุ้น หรือ Dynamic Price Band โดยกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของราคา (ที่แคบกว่า Ceiling & Floor) เอาไว้ เพื่อไม่ให้ราคาผันผวนเร็วเกินไป

5.การเพิ่ม Auto halt รายหุ้น กรณีมีจำนวนหุ้นรวมในคำสั่งมากกว่าจำนวนที่กำหนด เพื่อป้องกันการจับคู่ของคำสั่งซื้อขายที่อาจผิดปกติ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ช่วงไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในทางปฏิบัติคือ เวลา Halt คำสั่งที่อยู่ในระบบจะให้อยู่ในระบบต่อไปหรือจะยกเลิก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังพูดคุยกับสมาชิกเพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย

6.จัดให้มี Central Order Screening เพื่อเป็นระบบกลางในการคัดกรองคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงในการส่งคำสั่งซื้อขาย สำหรับการซื้อขายชอร์ตและการใช้โปรแกรมเทรดดิ้ง เบื้องต้นจะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและการพัฒนาระบบ จึงคาดว่าจะใช้เวลาอยู่พอสมควร

7.การเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกรายอื่น ซึ่งระหว่างนี้จะมีการแก้เกณฑ์ให้ บล. ดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน และเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ส่งหนังสือเวียนถึงบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและไม่ใช่สมาชิกทุกบริษัท เรื่อง “การเพิ่มตัวอย่างพฤติกรรมลักษณะการส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม พร้อมตัวอย่างและพฤติกรรม”

8.มาตรการรายงาน Outstanding Short Position ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลไปแล้วเป็นรายหลักทรัพย์และรายวันให้บุคคลทั่วไปทราบ

9.เพิ่มบทระวางโทษบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกให้สูงขึ้น 3 เท่า โดยเพิ่มโทษในกรณีที่ บล.ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้งให้สูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 3 เท่า

และ 10.การเปิดเผยข้อมูลการถือครอง NVDR สูงสุด 10 รายแรก และผู้ถือตั้งแต่ 0.5% ให้บุคคลทั่วไปทราบ ลักษณะเดียวกับการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

诈骗近19亿·迪拜落网 金融大案主犯押解返泰国
斯塔克财务诈骗案主犯查宁查宁(中)被押返曼谷机场。

(曼谷24日讯)泰国首相署和警方23日在素旺那蓬机场联合宣布,斯塔克(Stark)财务诈骗案的主要涉案人员之一、该公司前高管查宁已在迪拜被捕。

阿联酋当局22日在迪拜将其移交给泰国当局押解返回泰国,嫌犯23日落地泰国,等待进一步审判。

据报道,斯塔克财务诈骗案是近年来泰国证券交易所最大的会计丑闻之一。据监管机构称,该案最终对4704名股东造成不良影响,财务损失达147亿泰铢(约18.8亿令吉)。

2023年6月,特案厅启动对斯塔克财务诈骗案的调查,并在之后根据《证券交易法》对7位斯塔克雇员,以及5家关联企业采取法律行动,指控其参与伪造、欺诈、贪污和洗钱等。

2023年10月开始,调查人员加强了对嫌犯查宁的追捕力度,耗时8个月左右,终于抓获查宁。查宁24日被带到总检察长办公室接受起诉。

回到创造丑闻历史的“Chanin Yensudjai”被捕后的STARK股票欺诈案传奇。直到发生信任危机震动泰国资本市场,因为这是一起泰国股市上市公司的重大欺诈行为。

2024.6.21 ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการตำรวจทั่วประเทศ ระดมปราบปรามการพนันฟุตบอลยูโร 2024 ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ล่าสุด 7 วัน จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 1,700 คน ดำเนินคดี 62 เว็บไซต์

ตร.ลุยปราบพนันฟุตบอลยูโร 7 วัน รวบแล้ว 1,700 ราย ดำเนินคดี 62 เว็บพนัน

พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.

ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการตำรวจทั่วประเทศ ระดมปราบปรามการพนันฟุตบอลยูโร 2024 ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ล่าสุด 7 วัน จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 1,700 คน ดำเนินคดี 62 เว็บไซต์

วันนี้ (21 มิ.ย.) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ในห้วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 ระหว่างในวันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์

ภาพรวมผลการจับกุมการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร ปี 2024 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14-20 มิถุนายน 2567 แบ่งเป็น

1.การจับกุมการพนันออนไซต์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 1,578 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 65 คน, ผู้เล่น 1,503 คน, คนเดินโพย 10 คน

2.การจับกุมการพนันออนไลน์ สามารถจับกุมได้ 62 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 248 คน แบ่งเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน 28 คน, ผู้เล่น 220 คน พบเงินหมุนเวียนในระบบทั้ง 62 เว็บไซต์ รวม 1,400,150,007 บาท โดยคดีสำคัญคือการจับกุมของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ซึ่งสามารถจับกุมได้รวม 4 เว็บไซต์ เงินหมุนเวียนกว่า 1,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า การพนันประเภทต่างๆ เป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดีทุกรายโดยไม่ละเว้น โดยผู้เล่น ผู้ชักชวน และผู้จัดให้มีการพนันฟุตบอล จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12(2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากการกระทำความผิดเป็นไปในลักษณะมีการชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมี ความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด ผู้ปกครองหรือผู้กระทำผิดก็อาจถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในมาตรา 26(3) ประกอบ มาตรา 78 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนมีเบาะแสหรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการพนันทายผลฟุตบอล หรืออาชญากรรมอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

警方连续7天严厉打击欧洲足球博彩 逮捕1700人并起诉62家博彩网站

2024.6.21 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. /ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 บช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบแก๊งชาวจีนตัวการพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 287 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์บุกทลาย 2 เว็บพนันแทงบอลยูโรรายใหญ่ชาวจีน ยึดทรัพย์เกือบ 300 ล้าน

21 มิ.ย.2567 – ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. /ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 บช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบแก๊งชาวจีนตัวการพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 287 ล้านบาท

พล.ต.ท.วรวัฒน์ ผบช.สอท.เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบเล่นพนันทายผลฟุตบอลอย่างเข้มข้น จนกระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ คือ เว็บไซต์ wm88 vip และ เว็บไซต์ x-stand com จากการวิเคราะห์เส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.2567 ถึง 1,400 ล้านบาท

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขอศาลอาญาออกหมายค้นและหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดได้ทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีรับโอนเงิน จำนวน 11 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีพักเงิน หมุนเวียน จำนวน 37 ราย ,กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีซื้อขายเหรียญ จำนวน 6 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่ผู้ทำหน้าที่กดเงิน จำนวน 4 ราย ,กลุ่มผู้ต้องหาชาวต่างชาติซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์ เป็นชาวจีน 5 ราย กัมพ฿ชา 1 ราย

กระทั่งวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้นำกำลังตำรวจไซเบอร์พร้อมหมายค้นเข้าตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ กทม. จำนวน 2จุด สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินทั้งหมด รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท โดยมีรายละเอียด จุดที่ 1 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 333/3 ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. สามารถตรวจยึดและอายัดของกลาง รวมมูลค่าประมาณ 264,816,982 บาท เป็นโฉนดห้องชุด เงินสด รถยนหรูและทรัพย์สินอื่นๆ

จุดที่ 2 ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท 39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.สามารถตรวจยึดและอายัดของกลาง รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท เป็น รถยนต์ Toyota Alphard จำนวน 5 คัน มูลค่าประมาณ 20,000,000 บาท และเงินสดและทรัพย์สินอื่นๆ นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นกลุ่มตัวการรับผลประโยชน์ และกลุ่มที่ทำหน้าที่บริหารเงินของเว็บพนันออนไลน์ ได้ 7 ราย เป็นชาวจีน 3 คน และ คนไทย 4 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผลและจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบตัวการแก๊งจีน ยึดทรัพย์กว่า 300 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์แถลงยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ จับกุมตัวการแก๊งชาวจีน ยึดทรัพย์รวมกว่า 300 ล้านบาท

วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และพ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ จับกุมตัวการแก๊งชาวจีนพร้อมเครือข่าย ยึดทรัพย์รวมกว่า 300 ล้านบาท

สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ทาง พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สั่งการให้ทุกหน่วยตรวจสอบการเล่นพนันอย่างเข้มข้น กระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิด เกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ จึงได้ทำการแกะรอยเส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.67 ถึง 1,400 ล้านบาท

จากนั้นจึงขอศาลออกหมายค้นและหมายจับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหา กลุ่มรับโอนเงิน 11 ราย กลุ่มบัญชีพักเงินหมุนเวียน 37 ราย กลุ่มซื้อขายเหรียญคริปโต 6 ราย กลุ่มกดเงิน 4 ราย และกลุ่มชาวต่างชาติผู้รับผลประโยชน์ 6 ราย เป็นชาวจีน 5 รายกัมพูชา 1 ราย พร้อมนำกำลังตรวจค้น 2 จุด

โดยจุดที่1. ค้นบ้านหลังใหญ่ ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. พร้อมจับกุม นายจางเชี้ยง MR.XIANG ZHANG อายุ 42 ปี สัญชาติจีน และนาง ฮุ่ยชิง จาง MRS.ZHANG HUIQING อายุ 37 ปี 2 สามีภรรยาชาวจีน ที่ทำหน้าที่รับผลประโยชน์

พร้อมยึดเงินสด 13,830,000 บาท ธนบัตรจำนวน 3,200 ดอลลาร์ รถยนต์ Bentley มูลค่า 20 ล้านบาท รถยนต์ Mercedes-Benz มูลค่า 3 ล้านบาท รถยนต์ GWM Tank 500 มูลค่า 2 ล้าน อายัดเงินฝากในบัญชี จำนวน 86,749,572 บาท สัญญาซื้อขายบ้านหรู ราคา 88 ล้านบาท โฉนดที่ดินห้องชุดคอนโดหรู 11 ห้อง และกระเป๋าแบรนเนมจำนวนมาก รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท

จากการสอบสวนทั้งคู่ ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ ส่วนทรัพย์สินที่ได้ มาจากการขายบริษัทโฆษณาที่ประเทศจีน และนำเงินมาใช้ในการอยู่ที่ประเทศไทยและเล่นคริปโตเป็นหลัก

ส่วน จุดที่2. ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จับกุมนายจุนเสีย MR.JUN XIA อายุ 36 ปี สัญชาติจีน พร้อมคนไทย 4 คน ยึดเงินสด 2,260,000 ล้านบาท รถยนต์ โตโยต้า อัลพาร์ท 5 คัน มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาต, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผล และจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

จับ2เว็บพนันฟุตบอลยูโร รวบยกขบวนการ64ราย ยึดทรัพย์กว่า300ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์ บุกค้นและจับกุม 2 ขบวนการเว็บพนันฟุตบอลยูโร รวบนายทุน-คนงาน 64 ราย ยึดทรัพย์สินของกลางมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 21 มิ.ย.2567 ที่บช.สอท. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1

พ.ต.อ.สรกฤช พันธ์ศรี ผกก.3 บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ เว็บไซต์ wm88.vip และ เว็บไซต์ x-stand.com รวบตัวการแก๊งชาวจีนพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 280 ล้านบาท

สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ทาง ตร. โดย พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สั่งการให้ทุกหน่วยตรวจสอบการเล่นพนันอย่างเข้มข้น

กระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิด เกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ ได้แก่ เว็บไซต์ wm88.vip และ เว็บไซต์ x-stand.com จึงได้ทำการแกะรอยเส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.67 ถึง 1,400 ล้านบาท ก่อนขอศาลออกหมายค้น

และหมายจับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหา กลุ่มรับโอนเงิน 11 ราย, กลุ่มบัญชีพักเงินหมุนเวียน 37 ราย, กลุ่มซื้อขายเหรียญคริปโต 6 ราย, กลุ่มกดเงิน 4 ราย และกลุ่มชาวต่างชาติผู้รับผลประโยชน์ 6 ราย เป็นชาวจีน 5 รายกัมพูชา 1 ราย พร้อมนำกำลังตรวจค้น 2 จุด

โดยจุดที่1. ค้นบ้านหลังใหญ่ ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. พร้อมจับกุม นายจางเชี้ยง MR.XIANG ZHANG อายุ 42 ปี สัญชาติจีน และนาง ฮุ่ยชิง จาง MRS.ZHANG HUIQING อายุ 37 ปี 2 สามีภรรยาชาวจีน ที่ทำหน้าที่รับผลประโยชน์

พร้อมยึดเงินสด 13,830,000 บาท ธนบัตรจำนวน 3,200 ดอลลาร์ รถยนต์ Bentley มูลค่า 20 ล้านบาท, รถยนต์ Mercedes-Benz มูลค่า 3 ล้านบาท, รถยนต์ GWM Tank 500 มูลค่า 2 ล้าน, อายัดเงินฝากในบัญชี จำนวน 86,749,572 บาท, สัญญาซื้อขายบ้านหรู ราคา 88 ล้านบาท โฉนดที่ดินห้องชุดคอนโดหรู 11 ห้อง และกระเป๋าแบรนเนมจำนวนมาก รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท

สอบสวนทั้งคู่ ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ ส่วนทรัพย์สินที่ได้ มาจากการขายบริษัทโฆษณาที่ประเทศจีน และนำเงินมาใช้ในการอยู่ที่ประเทศไทยและเล่นคริปโตเป็นหลัก

จุดที่2. ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จับกุมนายจุนเสีย MR.JUN XIA อายุ 36 ปี สัญชาติจีน พร้อมคนไทย 4 คน ยึดเงินสด 2,260,000 ล้านบาท รถยนต์ โตโยต้า อัลพาร์ท 5 คัน มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาต, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผล และจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

多名华人涉案、涉案财产超2.8亿!泰国警方捣毁网赌大案

6月20日,泰国国家警察总署助理总署长阿卡拉德警中将作为赌博预防与侦查中心2024年欧洲足球锦标赛(简称“欧洲杯”)非法赌博打击队队长,下令多位警官联合召开新闻发布会,就近期的欧洲杯足球赛非法赌博打击行动(SHUTDOWN EURO BET)结果进行公布。

此次行动中,共查获两个赌博网站,均有中国籍犯罪团伙参与,没收财产超过2.8亿泰铢。

由于目前正处于2024年欧洲杯期间,泰国国家警察总署命令各单位严查与非法赌博有关的犯罪行为。在调查中,有两个在线足球博彩网站被警方锁定,警方通过线索追查到,这两个网站都位于曼谷,在2024年1月至6月期间的现金流达14亿泰铢,于是向刑事法院申请逮捕令,对64个犯罪分子实施了抓捕。这64个嫌疑人各有分工,包括11个汇款接收账户负责人、37个储蓄及转账账户负责人、6个加密货币交易账户负责人、4个账户取款负责人、以及6个外籍得利人(其中5名为中国籍,1名柬埔寨籍)。

警方先对位于曼谷通罗地区的一个豪华住所进行搜查,并抓获2名犯罪嫌疑人,分别是42岁中国籍男子项某(音译)和37岁中国籍女子张某(音译),两人为夫妻,是在线足球博彩网站的得利人。同时,警方查没了两人的财产,包括泰铢现金1383万铢、现金美元3200元、价值2000万铢的宾利汽车、价值300万铢的奔驰汽车、价值200万铢的长城坦克500汽车、银行存款约8700万铢、价值8800万铢的豪宅购买合同、以及总价值约2300万铢的11间豪华公寓的所有权证明和名牌包包。

两人否认他们与在线足球博彩网站无关,持有的资产是他售卖在中国的广告公司所得,主要用于在泰国的生活支出和投资加密货币。

随后,警方对同位于瓦塔纳区的另一处豪华公寓进行搜查,抓获1名36岁中国籍男子君某(音译)和4名泰国人,并查没其财产,包括泰铢现金226万铢、总价值约2000万铢的丰田汽车5辆。

警方初步指控上述涉案人员“未经许可,通过网络途径等直接或间接地策划、宣传或招揽他人参与赌博,以及参与两人或两人以上的共谋洗钱、实施洗钱罪”。目前,犯罪嫌疑人已被移交给大都会警察局第3分局调查监督司依法起诉。同时,警方将继续扩大调查,逮捕逃犯,以对其他涉案人员依法进行处理。

警方在调查后共对64名涉案人员申请发出逮捕令,现已逮捕了7名网站受益者及资金管理人士,分别为42岁中国男子Mr.XIANG ZHANG、37岁中国女子Mrs.HUIQING ZHANG,2人均为受益人,以及36岁中国男子MR.JUN XIA,负责资金管理及洗钱;以及其他4名泰国男子,均负责提取现金。

目前,警方仍在进一步扩大调查范围,以将在逃嫌犯捉拿归案。

2024.6.9, For less than RM2,500 ( THB19,578 ), Malaysian couples can get a marriage certificate in Thailand. That is how easy it is to get hitched, for those wanting a second wife. And the number of Malaysians getting married in southern Thailand is growing. However, a local marriage agent warned Malaysian couples – especially Muslims – that they would face endless problems if they hired illegal agents to facilitate their marriage solemnisation.

Warning: Beware of fake marriage agents in rise of Malaysians marrying in Thailand

For less than RM2,500 ( THB19,578 ), Malaysian couples can get a marriage certificate in Thailand. That is how easy it is to get hitched, for those wanting a second wife.

And the number of Malaysians getting married in southern Thailand is growing.

However, a local marriage agent warned Malaysian couples – especially Muslims – that they would face endless problems if they hired illegal agents to facilitate their marriage solemnisation.

The agent, who requested to speak on the condition of anonymity, said those who seek illegal marriage services will go through a marriage ceremony using a ‘kadi’ (a religious official that can solemnise a marriage) who is unrecognised by the authorities.

“The ceremony arranged by illegal agents is usually done in rural villages along border towns. In some cases, they will abscond with your money.

“They also act as syndicate members offering various services such as transport and accommodation,” the agent said.

A textile trader who wished to be known only as Azmin experienced this when he got married in 2023. He paid RM2,000 ( THB15,662 ) to a syndicate member who disappeared without providing a valid marriage certificate.

“We were taken to a village in Sungai Golok and solemnised before a ‘kadi’. But after agreeing to provide us with a marriage certificate for our (marriage ceremony) back in Malaysia, the agent vanished without a trace,” he said.

Mr Azmin said he later sought a friend’s help to get solemnised again in Narathiwat; this time, with a ‘kadi’ appointed by the Thailand Islamic Religious Council.

The Malaysian consul-general in Songkhla, Ahmad Fahmi Ahmad Sarkawi, said the Consulate-General is aware of the existence of a syndicate preying on couples wanting to get married in border towns.

“It’s not easy to track down these syndicate members. After the wedding ceremony, the illegal agents will not come to the consulate to submit their client’s documents for authentication,” he said.

Ahmad Fahmi advised Malaysian couples to engage only a ‘kadi’ recognised by the Islamic Religious Council in southern Thailand.

“Malaysian couples must submit their documentation at the consulate to ensure (their marriage) is valid and to avoid being conned by syndicate members,” he said.

He added that once the documents are endorsed by the consulate, the couples can register their marriage back in Malaysia.

“This is very important because if they fail to do so, although their marriage may be considered valid from a Syariah perspective, problems may arise later when their child cannot enrol in school or when their child’s status cannot be determined in the future,” he said.

Ahmad Fahmi said that every month, an average of about 250 to 300 couples from Malaysia submit their marriage documents at the consulate after getting hitched in Thailand.

The agent who spoke to The Star said the marriage ceremonies are conducted by a ‘kadi’ in Malay.

“Once registered, (the marriage) will be recognised by the Thai Islamic religious authorities. The marriage vow is similar to marriage ceremonies in Malaysia.

“After the proceedings, couples will be taken straight to the consulate in Songkhla,” he said.

The following day, the couple will get a confirmation letter and once all the procedures are completed and verified, they can return to Malaysia as a married couple, said the agent.

Couples have to pay a fee of between RM1,500 (THB11,747) and RM2,500 (THB19,578).

A check on social media found several agents offering packages of between RM2,000 (THB15,662)and RM4,000 (THB31,325) for couples seeking to marry in southern Thailand, namely in Yala, Satun, Songkhla, Pattani and Narathiwat.

“In the past five years, I have provided such services to more than 1,000 couples from Malaysia legally. Our role is to ease the process of marriage and manage all the administrative procedures for them at the Islamic religious councils in the five southern provinces of Thailand.

“However, the presence of illegal agents has indirectly hampered our work and tarnished our image,” the agent said.

The Star witnessed several Malaysian men taking part in marriage ceremonies during a visit to Narathiwat.

A couple who wanted to be known only as Salleh and Haliza were spotted leaving the Thailand Islamic Religious Council compound after their marriage ceremony.

“Our marriage ceremony went well without any problems. This is my second wife and we decided to do it here as it is less of a hassle compared with Malaysia,” said Salleh.

“I engaged an authorised agent who helped us get solemnised at the Narathiwat Islamic Religious Council office.”

The 50-year-old businessman said he paid RM1,600 (THB12,530) to the agent for the documentation and ceremony.

“As long as we get solemnised by a proper ‘kadi’ and register our marriage in Malaysia, we won’t have any problems later,” he said.

警告:马来西亚赴泰国结婚人数增多 谨防假结婚中介

2024.6.7, In a huge crackdown on online fraud over seven months, Royal Thai Police have arrested 14,000 individuals involved in call centre scams, investment fraud schemes and online gambling websites. The operation has also led to the freezing of 4.5 billion baht in assets, and discussions are underway with the Anti-Money Laundering Office (AMLO) on how these can be distributed among victims.

14,000-plus con artists arrested in crackdown on online scams

Operations over seven months also resulted in the seizing and freezing of 4.5 billion baht in assets, officials seeking ways to return funds to victims

In a huge crackdown on online fraud over seven months, Royal Thai Police have arrested 14,000 individuals involved in call centre scams, investment fraud schemes and online gambling websites.

The operation has also led to the freezing of 4.5 billion baht in assets, and discussions are underway with the Anti-Money Laundering Office (AMLO) on how these can be distributed among victims.

14,000-plus con artists arrested in crackdown on online scams

The Royal Thai Police deputy spokesman Pol Maj-General Siriwat Depor told the press on Friday that following directives from Prime Minister Srettha Thavisin and acting National Police chief Pol General Kittirat Panpet, the authorities have been intensively investigating and combatting technological crimes. Their efforts have yielded substantial results in three key areas:

Crackdown on criminals: From October 1, 2023, to April 30, 2024, the authorities have arrested 14,826 individuals involved in call centre scams, investment fraud rings, and illegal online gambling operations.

Disrupting infrastructure: In collaboration with the National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC), the police investigated the illegal installation of signal transmission equipment along the border. These devices were used by criminals to facilitate ongoing illegal activities. The operation successfully led to the confiscation of the equipment.

Dismantling Financial Networks: The authorities investigated and expanded operations through financial tracking and the freezing of mule accounts. Between November 1, 2023 and April 30, 2024, they successfully froze 4.56 billion baht. Collaboration with AMLO aims to ensure the recovered funds are returned to the victims.

The public is urged to stay informed about the various types of crimes to protect themselves from becoming victims.

Victims of technology-related crimes can file a complaint through the website www.thaipoliceonline.go.th or by calling the 24-hour hotline at 1441.

泰国严打网络诈骗 逮捕1万4000多名骗子

泰国皇家警察在为期七个月的大规模打击网络诈骗行动中,逮捕超过1万4000名不法分子,涉及非法活动包括呼叫中心诈骗、投资诈骗和在线赌博网站。

泰国《民族报》报道,泰国皇家警察副发言人希里瓦特星期五(6月7日)在新闻发布会说,遵照首相社德他和代国家警察总署署长基蒂拉特(Kittirat Panpet)的指示,执法部门一直在密切调查和打击技术犯罪。

他们的努力在三个关键领域取得了实质性成果,包括追捕犯罪分子、捣毁诈骗集团的基础设施和金融网络。

自去年10月1日至今年4月30日,共逮捕1万4826名参与非法活动人员。自去年11月1日至今年4月30日,他们成功冻结了45.6亿泰铢的款项,目前正与反洗钱办公室(AMLO)讨论如何把这笔钱分配给受害者。

2024.6.5, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ระยะที่ 2

‘ดีอี’ ไม่หยุด! โชว์ผลงานเฟส 2 จับกุมโจรออนไลน์ ปิดเว็บพนัน ระงับซิมผี บัญชีม้า ตามข้อสั่งการนายกฯ

‘กระทรวงดีอี’ อวดผลงานปราบโจรออนไลน์ เฟส 2 กวาดล้างซิมผี บัญชีม้า ปิดเว็บพนัน ปรับปรุงกฎหมายสกัดฟอกเงิน-เพิ่มมาตรการลดความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ บรรเทาเดือดร้อนของประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ระยะที่ 2

สำหรับมาตรการและผลการดำเนินงาน ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค.67 ที่ผ่านมา มี 8 เรื่องที่สำคัญดังนี้

1.การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ จับกุมอาชญากรรมออนไลน์จำนวน 2,295 ราย ลดลง 8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี โดยพบการจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ 991 ราย และคดีซิมม้า บัญชีม้า 199 ราย ที่สำคัญ มีการปฏิบัติการจับกุมหลายครั้ง ได้แก่ การจับกุม เว็บไซต์.บ้านหวย.com เงินหมุนเวียนประมาณ 80 ล้านบาทต่อเดือน ยึดทรัพย์ประมาณ 70 ล้านบาท การทลายเว็บพนัน “หวานเจี๊ยบ” ด้วยเงินหมุนเวียน 1,000 ล้านบาทต่อเดือน การปฏิบัติการต่อต้านแก๊ง Call Center ที่กัมพูชา และการจับกุมการหลอกลวงลงทุนคริปโต โยงเครือข่ายการพนันออนไลน์ จับกุมได้ 25 ราย ยึดทรัพย์ 125 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยังจับกุมคดีเว็บพนัน “แม่มนต์”

2.ปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน รวม 15,758 รายการ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 9.3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับเดือน พ.ค.66 ที่มีการปิดกั้นเพียง 1,687 รายการ เช่นเดียวกันกับการปิดกั้นเว็บพนันที่สูงถึง 6,459 รายการในเดือนนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีการปิดเพียง 78 รายการ โดยเพิ่มขึ้น 82.8 เท่า

3.การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ได้ระงับบัญชีม้ากว่า 800,000 บัญชี โดย ปปง. ระงับ 344,079 บัญชี ธนาคารระงับ 300,000 บัญชี และ AOC ระงับ 171,794 บัญชี พร้อมนำมาตรการเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อตัดตอนการใช้บัญชีในการกระทำความผิด โดยมีการปรับปรุงกระบวนการ Customer Due Diligence และตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน

4.การแก้ไขปัญหาซิมม้า และซิมที่ผูกกับ Mobile Banking โดยระงับการใช้งานหมายเลขที่โทร.ออกเกิน 100 ครั้งต่อวันจำนวน 42,298 เลขหมาย ในนั้นมีเพียง 372 เลขหมายที่ยืนยันตัวตน และ 41,926 เลขหมายไม่ได้ยืนยันตัวตน นอกจากนี้ กสทช. ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ยืนยันตัวตนใหม่ สำหรับผู้ถือซิมการ์ดมากกว่า 100 ซิม โดยมีเลขหมายที่เข้าข่าย 5.0 ล้านเลขหมาย และเลขหมายที่ต้องยืนยันตัวตน 2.6 ล้านเลขหมาย ระงับการใช้งานชั่วคราว 2.3 ล้านเลขหมาย และในกลุ่มผู้ถือซิม 6-100 เลขหมายต่อค่าย มีเลขหมายเข้าข่าย 4.0 ล้านเลขหมาย ยืนยันตัวตนแล้ว 1 ล้านเลขหมาย กระบวนการตรวจสอบซิมที่ใช้กับโมบายแบงกิ้งจะแล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยประชาชนยังสามารถใช้งานโมบายแบงกิ้งได้ตามปกติ และกำลังพิจารณาข้อยกเว้นเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

5.การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยสำนักงาน กสทช. สั่งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตปรับเสาสัญญาณในพื้นที่ชายแดนเสี่ยง เช่น อ.แม่สอด จ.ตาก อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อ.เมือง จ.ระนอง โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มิ.ย.67

6.การแก้กฎหมายเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อตอบโต้ปัญหาการฟอกเงินและการกระทำผิดทางการเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเน้น 3 ประเด็นหลัก 1) เพิ่มความเร็วในการคืนเงินให้ผู้เสียหาย 2) การเพิ่มโทษสำหรับการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ 3) ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมายโดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ก.ล.ต. และ ปปง. ได้ยกระดับมาตรฐานการฟอกเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของ FATF และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาบัญชีต้องสงสัย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยังได้พิจารณาร่างประกาศเกี่ยวกับการควบคุมบริการขนส่งสินค้า COD เพื่อป้องกันการกระทำผิดออนไลน์

7.การเพิ่มบทบาท ความรับผิดชอบให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และธนาคาร ซึ่งกระทรวงดีอี ได้หารือแนวทางร่วมกันกับบริษัท ไลน์ประเทศไทย แพลตฟอร์ม Meta และ X เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์เชิงรุก ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการปิดกั้น URL ที่ผิดกฎหมายแบบเชิงรุก

8.การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441 กระทรวงดีอี ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), ตร., DSI, ปปง., ธปท. และสำนักงาน กสทช.

“รัฐบาลเร่งดำเนินการบูรณาการในการปราบปรามอาชญากรรมดิจิทัล รวมถึงการจับกุมคนร้าย การกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้า การอายัดบัญชีธนาคาร และการปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงและเว็บพนันออนไลน์ ผลงานในเดือน เม.ย.67 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้เร่งรัดการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้เสียหาย และมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ เพื่อลดความเดือนร้อนของประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

The technology crime suppression panel also makes several arrests in its second phase of operations in May

The Prevention and Suppression of Technology Crimes (PSTC) Committee has closed more than 815,000 mule accounts in the second phase of its operation, the Digital Economy and Society (DES) Minister Prasert Chanthararuangthong said.

He was speaking to reporters on Wednesday in his capacity as the panel’s chairman.

Prasert said that in the second phase of the operation from May 1 to 31, a total of 815,873 mule accounts were closed – 344,079 by the Anti-Money Laundering Office (AMLO), 300,000 by banks themselves and 171,794 at the request of the Anti-Online Scam Operation Centre (AOC).

The PSTC had been set up by Prime Minister Srettha Thavisin under the 2023 Royal Decree on Measures for Prevention of Technology Crimes in early March. The order was in response to rampant cybercrime cases and a surge in deception cases by call-centre gangs.

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

Prasert, who is ex-officio chair of PSTC, convened a meeting on Wednesday to check the progress of its operations. The committee comprises representatives from the Royal Thai Police, the National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC), the Bank of Thailand (BOT), the Thai Bankers’ Association, AMLO, the Department of Special Investigation (DSI), Securities and Exchange Commission, and Telecommunications Association of Thailand.

At the meeting, the participants were informed of the progress made in several operations during the second phase in May, including the closure of mule bank accounts used by conmen to receive money from their prey.

The committee was informed that the central bank has told commercial banks to use the principles of customer due diligence (COD) before allowing individuals to open new bank accounts. COD aims to ensure account holders do not come from any of the risk groups and has been put in place since May 30.

Commercial banks will also widen a crackdown on mule bank accounts by using the names of closed mule accounts’ owners as a basis, the panel was told.

Apart from closing mule accounts, the PSTC operation in May also included:
·Arresting nine suspects and freezing assets worth 70 million baht in a crackdown on BanHuay.com online gambling website
·Arresting 12 suspects working for a Cambodia-based call centre
·Arresting 25 suspects for deceiving victims into investing a total of 350 million baht in crypto coins and freezing their assets worth 125 million baht

The committee also learned that the authorities have blocked access to 15,758 fraudulent social media links and websites during May, and has shut down 6,459 gambling websites during the period.

As for the operation of terminating SIM cards linked to mule mobile banking accounts, 42,298 mobile phone numbers that had made more than 100 calls per day were suspended from service as of May 26. Only 372 of the owners have come forward to identify themselves with mobile phone operators.

The authorities have shortlisted 5 million mobile phone numbers used by people who own more than 100 SIM cards each. So far, 2.6 million of these numbers have been clarified, while 2.3 million of the remaining numbers have been suspended after the owners failed to verify themselves within the February 14 deadline.

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

The authorities have set a July 13 deadline for owners of more than six but less than 100 SIM cards to come forward to explain their need for so many numbers. Some 4 million numbers fall under this category, and the owners of about a million of them have come forward as of now.

In another development, Prasert said Prof Wisit Wisitsora-At, permanent secretary for DES Ministry, has signed a memorandum of understanding for the AOC to coordinate with the Cyber Crime Investigation Bureau, DSI, AMLO, BOT and NBTC in operations to suppress and prevent cybercrimes.

泰国数字经济与社会部长表示,预防和打击科技犯罪委员会 (PSTC) 已在第二阶段行动中关闭了超过 815,000 个“骡子”账户。

他周三以委员会主席的身份对记者发表了讲话。

在 5 月 1 日至 31 日的第二阶段行动中,共关闭了 815,873 个洗钱账户,其中 344,079 个由反洗钱办公室 (AMLO) 关闭,300,000 个由银行自行关闭,还有 171,794 个是应反网络诈骗行动中心 (AOC) 的要求关闭的。

除了关闭“骡子”账户外,PSTC 5 月份的行动还包括:
·打击网络赌博网站 BanHuay.com,逮捕 9 名嫌疑人,冻结 7000 万泰铢资产
·逮捕 12 名在柬埔寨呼叫中心工作的嫌疑人
·逮捕 25 名嫌疑人,他们欺骗受害者投资总计 3.5 亿泰铢的加密货币,并冻结其价值 1.25 亿泰铢的资产

当局在 5 月份已屏蔽了 15,758 个欺诈性社交媒体链接和网站,并关闭了 6,459 个赌博网站。

在注销手机银行“骡子”账户SIM卡操作方面,截至5月26日,42298个日拨打电话超过100次的手机号码被暂停服务,其中只有372名手机号码持有者主动向手机运营商表明了自己的身份。

当局已将 500 万个手机号码列入候选名单,这些号码的持有者每人拥有 100 多张 SIM 卡。到目前为止,其中 260 万个号码已得到澄清,而其余 230 万个号码因持有者未能在 2 月 14 日截止日期前验证身份而被暂停使用。

当局设定的截止日期是 7 月 13 日,要求持有 6 张以上 100 张以下 SIM 卡的业主出面解释他们为何需要这么多号码。约有 400 万个号码属于此类,截至目前,其中约 100 万个业主已经出面解释。

2024.5.11, โอนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน โยง “นักการเมืองท้องถิ่นเมืองคอน” ให้ สอท.
ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไฟเขียวโอนสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ตำรวจไซเบอร์-อัยการสูงสุดรับผิดชอบคดี หลังพบพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไร้วี่แววการออกหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นเบื้องหลัง ใกล้ชิดตำรวจระดับนายพล

โอนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน โยง “นักการเมืองท้องถิ่นเมืองคอน” ให้ สอท.

ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไฟเขียวโอนสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ตำรวจไซเบอร์-อัยการสูงสุดรับผิดชอบคดี หลังพบพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไร้วี่แววการออกหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นเบื้องหลัง ใกล้ชิดตำรวจระดับนายพล

กรณี การเข้าทลายจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ใช้โรงแรมเก่าในย่านตลาดจันดี อำเภอฉวาง และโกดังสินค้าในอำเภอนาบอน นครศรีธรรมราช รวม 4 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและไทยได้ 71 คน และยังจับกุมขณะหลบหนีในท้องที่จังหวัดชุมพร ได้อีกจำนวนหนึ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้บ่งชี้ได้ถึงความกว้างขวางของขบวนการที่โยงไปถึงเจ้าของสถานที่ตัวจริง ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง และยังเชื่อมโยงไปถึงชาวจีนที่มีบทบาทความสัมพันธ์เชิงครอบครัว แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเชื่อมโยงดำเนินการทางกฎหมายได้ ทั้งยังมีของกลางที่ถูกยึด เช่นคอมพิวเตอร์พีซีกว่า 200 เครื่อง โทรศัพท์มือถือกว่า 1 พันเครื่อง สมุดบัญชีแทบทุกธนาคารในประเทศไทยนับร้อยเล่ม ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ถูกเรียกว่า “บัญชีม้า” ซิมการ์ดอีกนับร้อย รวมทั้งของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ

ความคืบหน้าล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้เข้าชี้แจงข้อมูลคดีต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏข้อมูลสำคัญจากการสรุปของคณะกรรมาธิการว่า คดีได้ถูกยกระดับเป็นลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้อนุมัติให้มีการโอนสำนวนการสอบสวนคดีจากกองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ไปยังกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ และมีเครื่องมือการสืบสวนสอบสวนที่มีความพร้อม

และได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาชาวจีน และชาวไทยอีกจำนวนหนึ่ง รวมจำนวน 63 ราย โดยทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และได้แจ้งต่ออัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 แล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา กองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้ส่งสำนวนพร้อมของกลางทั้งหมดให้กับ บช.สอท.ดำเนินการแล้ว

ส่วนการฝากขังผู้ต้องหาขณะนี้เข้าสู่ผลัดที่ 4 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม และกำลังเป็นที่กังวลว่า จะสามารถทำสำนวนส่งฟ้องได้ทันหรือไม่

ขณะเดียวกันการจับตาว่าจะมีการเชื่อมโยงไปถึงครอบครัวของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้ในประเทศไทยแก๊งนี้ กลับยังไม่มีความคืบหน้า และเป็นที่จับตาว่านักการเมืองรายดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางนายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในและนอกราชการ รวมทั้งยังมักปรากฏตัวกับนักการเมืองระดับประเทศบ่อยครั้ง.

助理警察指挥官批准移交洛坤府华人呼叫中心团伙案件,让网络警察和总检察长负责此案。

2024.5.7, เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มจีนเทา ระดับสั่งการ ถูกจับขณะเดินทางเข้ามามายังไทย หลังจากก่อนหน้านี้ใช้ช่องทางธรรมชาติผ่านประตูรับซึ่งสร้างเป็นร้านค้าประชิดแนวชายแดน แต่หลังจากตำรวจสอบสวนกลาง จับกลุ่มคนพาจีนเทาข้ามแดน และปิดช่องลับได้ จีนเทาจึงต้องใช้ช่องทางผ่านด่านตามปกติ โดยจีนเทารายล่าสุดที่ถูกจับได้เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปง. พบผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
ตำรวจสอบสวนกลางโดย ตำรวจ ปอท. จับนายฮี เทียนหวังสัญชาติจีน อายุ 30 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญระดับสั่งการและฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาได้ขณะกำลังเดินทางเข้ามายังฝั่งไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา จึงได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัว

เปิดเบื้องหลัง จับจีนเทาระดับสั่งการแก๊งคอลฯ ขณะข้ามแดนเข้าไทย พบโกงเหยื่อกว่า 100 คดี

เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มจีนเทา ระดับสั่งการ ถูกจับขณะเดินทางเข้ามามายังไทย หลังจากก่อนหน้านี้ใช้ช่องทางธรรมชาติผ่านประตูรับซึ่งสร้างเป็นร้านค้าประชิดแนวชายแดน แต่หลังจากตำรวจสอบสวนกลาง จับกลุ่มคนพาจีนเทาข้ามแดน และปิดช่องลับได้ จีนเทาจึงต้องใช้ช่องทางผ่านด่านตามปกติ โดยจีนเทารายล่าสุดที่ถูกจับได้เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปง. พบผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

ตำรวจสอบสวนกลางโดย ตำรวจ ปอท. จับนายฮี เทียนหวังสัญชาติจีน อายุ 30 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญระดับสั่งการและฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาได้ขณะกำลังเดินทางเข้ามายังฝั่งไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา จึงได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัว

ตำรวจ กก3 ปอท สอบถามคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไปทำงานเป็นพนักงานโรงแรมที่ปอยเปตไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์และที่เดินทางมาในไทย เพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องต่อไปยังจีน ขัดแย้งกับหลักฐาน

ที่ตำรวจพบว่า นายฮี เป็นคนฟอกเงิน ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่ง1 ในเหยื่อ เป็นหญิงสูงอายุ 75 ปี ว่าบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยใช้หมายเลข +191 อ้างว่าเป็นตำรวจจันทบุรีและ เจ้าหน้าที่ ปปง. จนสูญเงินรวม 10.9 ล้านบาท และยังมีเหยื่อรายอื่นๆอีกกว่า 100 คดี แต่นายฮีปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดียว

ขณะที่ช่วงนี้ ยังมีจีนเทา กำลังจะเดินทางไปทำงานที่ปอยเปตให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ถูกตำรวจจับได้ ชื่อนายยูน อายุ 27 ปี ขณะยืนอยู่ที่ร้านอาหารในอำเภออรัญประเทศ เพื่อรอนายหน้ามาพาข้ามแดนไปตามช่องทางธรรมชาติก่อนหน้าก่อนหน้านี้ทำงานกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่เมียนมาร์แต่ เกิดเหตุไม่สงบจึงเปลี่ยนที่จะไปทำงาน ให้แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต และกลุ่ม บัญชีม้าซึ่งเป็นต้น ทางให้จีนเทาใช้โอนเงินจากเหยื่อ

โดยก่อนหน้านี้ตำรวจได้จับกุมบัญชีม้าที่ข้ามไปทำงานฝั่งปอยเปรตได้จำนวนมาก จึงจับนายม่วงได้ที่อำเภออรัญประเทศ จากการสอบสวนกลุ่มบัญชีม้า ให้การว่ามี “นาย ม่วง” หรือ นายปฏิภาณฯ อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว เป็นตัวการสำคัญในการชักชวน และพาบัญชีม้าข้ามแดนไปฝั่งปอยเปต นายม่วงรับสารภาพว่าทำหน้าที่ ประสานกับนายหน้าบัญชีม้า ทั้งในจังหวัดสระแก้วและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อพาคนที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า ข้ามช่องทางธรรมชาติไปฝั่งปอยเปต

โดยจะพาไปส่งให้ล่ามของบอสชาวจีนชื่อ “เจินเจิน” ซึ่งถูกจับไปก่อนหน้านี้ โดยจะได้รับค่าจ้างหัวละประมาณ 3,000-5,000 บาท และนอกจากนี้ผู้ต้องหายังให้การรับว่า ได้ทำลักษณะเช่นนี้มานานกว่า 6 เดือน รวมจำนวนบัญชีม้าคนไทยที่ส่งให้แก๊ง Call Center รวมกว่า 300 ราย โดยนางสาวพรทิพาฯ อายุ 33 ปี หรือเจิน เจิน ล่ามให้กับบอสชาวจีน ในการสั่งงานพนักงาน Call Center ในการโยกเงินจากบัญชีม้าและการฟอกเงินผ่านคริปโตฯ ที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา

โดยจับกุมได้ที่ด่าน ตม.คลองลึก จ.สระแก้วก่อนหน้านี้ ขณะกำลังจะข้ามพรมแดนไปทำงานให้บอสจีนที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต

โดยพบว่าแก๊ง Call Center แก๊งนี้ มีการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ ทั้งการโทรศัพท์ข่มขู่, หลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน, หลอกทำภารกิจ และการหลอกลงทุนรูปแบบต่างๆ โดยพบประวัติการแจ้งความออนไลน์ จำนวนกว่า 1,000 คดี

รวบคาด่านสระแก้ว บอสชาวจีน สั่งการ-บริหารเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่

ตำรวจสอบสวนกลาง ขยายผลรวบบอสชาวจีน สั่งการ-บริหารเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ คาด่านสระแก้ว

วันที่ 7 พ.ค. 2567 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เข้าจับกุม MR.HE สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1844/256 ลงวันที่ 25 เม.ย. 2567 ในความผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงคนเป็นบุคคลอื่น”

และโดยทุจริตหรือหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

สถานที่จับกุม อาคารผู้โดยสารขาเข้า จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วพฤติการณ์ สืบเนื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้สืบสวนสอบสวนคดีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์หลอกผู้เสียหายวัย 75 ปี ว่าบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยใช้หมายเลข +191 อ้างว่าเป็นตำรวจจันทบุรีและ เจ้าหน้าที่ ปปง. จนผู้เสียหายสูญเงินรวม 10.9 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องที่เป็นบัญชีม้า ได้รวม 5 ราย รวมทั้งล่ามเจินเจิน และนายม่วง คนพาบัญชีม้าข้ามแดนไปส่งให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต (ตามที่ปรากฏข่าวกับสื่อมวลชนไปก่อนหน้านี้) นำไปสู่การขยายผลเพื่อจับกุมให้ได้ทั้งขบวนการ

ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งเป็นระดับสั่งการและบริหารการเงินของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ได้แก่ MR.HE สัญชาติจีน อายุ 30 ปี ขณะกำลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศจีน จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าว ก่อนนำตัว ส่ง พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไปทำงานเป็นพนักงานโรงแรมที่ปอยเปตเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้แต่อย่างไร และที่เดินทางมาในไทย เพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องต่อไปยังประเทศจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีพยานหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจน

泰国皇家警察中央警方调查逮捕了中国公民Hee Tianwang先生,30岁,为波贝呼叫中心团伙订购和洗钱的主要嫌疑人。
刑事法院2024年4月25日第1844/256号逮捕令,罪名是“参加跨国犯罪组织,串通冒充他人诈骗公众”罪

14 อาชญากรรม, หลอกลงทุน, call center gang, แก๊งทุนจีน, คอลเซ็นเตอร์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ตำรวจสอบสวนกลาง, แก๊งคอลเซนเตอร์, อาชญากรข้ามชาติ, ตำรวจไซเบอร์, ลงทุนทิพย์, คริปโตเคอเรนซี, บัญชีม้า, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, เครือข่ายยาเสพติด, ภัยออนไลน์, มิจฉาชีพออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ, CIB, คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัว, คดี Virtual Kidnapping, แก๊งคอลฯเรียกค่าไถ่, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สน.บางรัก, อาชญากรรมกทม., ขบวนการหลอกลงทุน, คริปโต, ตำรวจไซเบอร์, บช.สอท., ฟอกเงิน, ยึดทรัพย์, ล่าทรชน, หลอกลงทุน, ฉ้อโกง, ถูกหลอกลงทุน 2024.1.13-5.6 ✓Press ✓Police ✓Thailand,ประเทศไทย,泰国

评论

《“『Thailand,ประเทศไทย,泰国』 10 อาชญากรรม, หลอกลงทุน, call center gang, แก๊งทุนจีน, คอลเซ็นเตอร์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ตำรวจสอบสวนกลาง, แก๊งคอลเซนเตอร์, อาชญากรข้ามชาติ, ตำรวจไซเบอร์, ลงทุนทิพย์, คริปโตเคอเรนซี, บัญชีม้า, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, เครือข่ายยาเสพติด, ภัยออนไลน์, มิจฉาชีพออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ, CIB, คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัว, คดี Virtual Kidnapping, แก๊งคอลฯเรียกค่าไถ่, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สน.บางรัก, อาชญากรรมกทม., ขบวนการหลอกลงทุน, คริปโต, ตำรวจไซเบอร์, บช.สอท., ฟอกเงิน, ยึดทรัพย์, ล่าทรชน, หลอกลงทุน, ฉ้อโกง, ถูกหลอกลงทุน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพ 2024.5.7-7.5”》 有 1 条评论

发表回复

您的电子邮箱地址不会被公开。 必填项已用 * 标注